นับเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนไทย เมื่อแบรนด์ Royal Enfield ตัดสินใจเลือกกรุงเทพฯ เป็นสถานที่ในการ เปิดตัวรถรุ่นใหม่ "Hunter 350" ครั้งแรกในโลก (World Premier) ถึงแม้ว่าตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางของไทยจะยังไม่ใหญ่าก และยอดขายของ Royal Enfield มิได้อยู่ในระดับสูง แต่การตัดสินใจครั้งนี้ ทำให้ได้ใจชาวสองล้อของไทยมิใช่น้อย
สำหรับ Hunter 350 เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้น 129,900 บาท ในรุ่น Dapper และ 132,900 บาท ในรุ่น Rebel พร้อมรับจองทันที โดยหลังการเปิดราคาอย่างเป็นทางการ ทีมงาน "เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง" ได้ทดลองขี่ Hunter 350 รุ่น Rebel แบบพอหอมปากหอมคอ ในเส้นทางใจกลางเมืองย่านสาทร-เยาวราช
ข้อมูลเบื้องต้น Royal Enfield Hunter 350 ถูกออกแบบมาในสไตล์ของรถเรโทร มิติรถ ความยาว 2,055 มม. ความกว้าง 1,055 มม. ความสูงของเบาะ 790 มม. ซึ่งเป็นความสูงที่ผู้หญิงตัวเล็กสามารถขี่ได้โดยไม่ต้องกังวล ระยะฐานล้อ 1370 มม ความสูงจากพื้น 150.5 มม. น้ำหนัก (ไม่รวมน้ำมัน) 179 กก. ความจุถังน้ำมัน 13 ลิตร
โครงสร้างเฟรมเป็นแบบ Half-duplex ใช้ตัวเครื่องยนต์เป็นจุดยึดและเสริมความแข็งแรง ส่งผลให้มีน้ำหนักเบาโดยเบากว่ารุ่น คลาสสิกถึง 18.7 กิโลกรัม ด้านระบบกันสะเทือน หน้า-เป็นแบบเทเลส์เคปิก แกน41 มม. ระยะยุบ 130 มม. หลัง-แบบโช้คคู่ปรับได้ 6 ระดับปรับพรีโหลดได้ ระยะยุบ 102 มม.
หัวใจบรรจุเครื่องยนต์สูบเดี่ยว SOHC ขนาด 349 ซีซี กำลังสูงสุด 20.2 แรงม้า ที่ 6100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบ/นาที เกียร์ 5 สปีด ล้ออัลลอยพร้อมยางขนาด 17นิ้ว ระบบเบรกดิสก์เบรก2ล้อพร้อม ABS แบบสองทิศทาง เบรกหน้าจานขนาด 300มม. คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ เบรกหลังจานขนาด 270 มม. คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ
การขับขี่นั้นแรกเริ่มทีมงาน Royal Enfield วางเส้นทางให้ขี่ Hunter 350 จากโรงแรง W ถนนสาทร ผ่านใจกลางเมืองย่านเยาวราชทะลุออกปิ่นเกล้า แล้ววิ่งอ้อมไปทางสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ แล้วไปทำกิจกรรมที่ริมทะเลสาปเมืองทองธานี ก่อนจะจบทริปที่จุดเริ่มต้น ในเวลากลางคืน แต่ด้วยสภาพอากาศที่มีฝนตกพรำๆ สลับหนาเม็ดบางช่วงทำให้ผู้เขียนตัดสินใจขอขี่ในช่วงเช้าแทน เพื่อความปลอดภัย ซึ่งทีมงาน Royal Enfield ตอบรับด้วยความยินดี โดยท่านใดที่มีความพร้อมและมั่นใจสามารถขี่ไปตามกำหนดได้เช่นเดียวกัน
ความรู้สึกแรกเกิดขึ้นตั้งแต่การติดเครื่องยนต์เพราะเราค่อนข้างสงสัยว่าจะสั่นเหมือนกับเครื่องยนต์สูบเดียวของ Royal Enfield ในรุ่นก่อนหน้าหรือไม่ ผลลัพธ์คือ เครื่องยนต์นิ่งดี แรงสั่นสะเทือนน้อยมาก แถมยังคงเอกลักษณ์เรื่องเสียงท่อไอเสียอันมีสเน่ห์เอาไว้ได้อีกด้วย
ที่เราโฟกัสในเรื่องการสั่นเป็นสำคัญเนื่องจากเคยมีประสบการณ์ที่เหนื่อยจากการขับขี่รุ่น 500 ซีซี มาก่อน และเมื่อได้สอบถามทีมผู้บริหารและทีมพัฒนารถ ได้คำตอบที่น่าทึ่งว่า Royal Enfield นั้นมีทีมงานที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าและผู้ที่ใช้งานจากทั่วโลก แล้วส่งตรงให้ทีมพัฒนาเอาไว้ใช้เพื่อแก้ไขข้อตำหนิติติงของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างรถให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยผลงานล่าสุดคือ Hunter 350 คันนี้
ตบเกียร์ ปล่อยคลัชท์ บิดคันเร่ง Royal Enfield Hunter 350 ออกตัวด้วยความรู้สึกที่กระฉับกระเฉง ไม่แรงมากแต่เพียงพอให้ความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่ได้อย่างที่ต้องการ จังหวะเปลี่ยนเกียร์ส่งต่อกำลังราบรื่นไร้การกระตุก ยิ่งบิดคันเร่งเพิ่มแรง เสียงท่อดังแบบเร้าใจในสไตล์ของรถขนาดกลาง เรียกว่าถ้าคุณชอบเสียง “บัฟ บัฟ” จากปลายท่อไอเสียในแบบทุ้มๆนุ่มนวล รับรองได้ว่า Hunter 350 จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดหลังการขับขี่แบบในเมืองคือ ความคล่องตัว Royal Enfield Hunter 350 ควบคุมง่าย จังหวะเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวตัวรถรู้สึกเบา ขี่สบาย โดยระดับองศาของแฮนด์อยู่พอดีกับตัวผู้เขียน แม้จะขี่นานต่อเนื่องนับชั่วโมงแบบในเมืองกลับไม่เมื่อยหรือล้าแต่อย่างใด โดยรวมขี่นิ่งดี ไร้การสั่นแบบน่ากลัว เรียกว่าแก้ปัญหามาได้ตรงจุด
ความเร็วสูงสุดที่เราขี่ได้คือราว 110 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดที่เคลมไว้คือ 120 กม./ชม. แต่สิ่งนี้มิใช่ประเด็นสำคัญในการเลือกคบหากับ Royal Enfield Hunter 350 จุดใหญ่ใจความคงอยู่ที่เรื่องของคุณภาพชิ้นส่วนและการประกอบที่ต้องใช้คำว่า พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะสีพ่นและการเก็บงานที่ดูดีเกินกว่าราคาค่าตัวระดับแสนต้นๆ
เฉพาะรุ่น Rebel ที่แพงกว่า 3,000 บาท นอกจากสีแบบทูโทน จะมีการติดตั้งหน้าจอเพิ่มอีกหนึ่งตัว โดยเจ้าหน้าจอตัวนี้รองรับการเชื่อมต่อแอพลิเคชันผ่านระบบลูทูธ สามารถนำทางและแสดงทิศทางการขับขี่ผ่านหน้าจอให้ผู้ขับขี่ ไม่จำเป็นต้องติดตั้งมือถือบนแฮนด์ เป็นหนึ่งออปชันที่เจ๋งดีเรายินดีจ่ายเพิ่มเพื่อสิ่งนี้
อย่างไรก็ตาม เสียดายอยู่หนึ่งอย่างคือ ไม่สามารถวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจากการขับขี่ได้ นอกนั้นถือว่าได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกคบหาได้ โดยสรุปแล้วเป็นรถที่ทำออกมาได้โดนใจวัยรุ่นกว่าเดิม ขับขี่ง่าย คุณภาพชิ้นส่วนดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดคือ ราคาจับต้องได้ง่ายด้วย โดย Royal Enfield Hunter 350 จะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป
สำหรับ Hunter 350 เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้น 129,900 บาท ในรุ่น Dapper และ 132,900 บาท ในรุ่น Rebel พร้อมรับจองทันที โดยหลังการเปิดราคาอย่างเป็นทางการ ทีมงาน "เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง" ได้ทดลองขี่ Hunter 350 รุ่น Rebel แบบพอหอมปากหอมคอ ในเส้นทางใจกลางเมืองย่านสาทร-เยาวราช
ข้อมูลเบื้องต้น Royal Enfield Hunter 350 ถูกออกแบบมาในสไตล์ของรถเรโทร มิติรถ ความยาว 2,055 มม. ความกว้าง 1,055 มม. ความสูงของเบาะ 790 มม. ซึ่งเป็นความสูงที่ผู้หญิงตัวเล็กสามารถขี่ได้โดยไม่ต้องกังวล ระยะฐานล้อ 1370 มม ความสูงจากพื้น 150.5 มม. น้ำหนัก (ไม่รวมน้ำมัน) 179 กก. ความจุถังน้ำมัน 13 ลิตร
โครงสร้างเฟรมเป็นแบบ Half-duplex ใช้ตัวเครื่องยนต์เป็นจุดยึดและเสริมความแข็งแรง ส่งผลให้มีน้ำหนักเบาโดยเบากว่ารุ่น คลาสสิกถึง 18.7 กิโลกรัม ด้านระบบกันสะเทือน หน้า-เป็นแบบเทเลส์เคปิก แกน41 มม. ระยะยุบ 130 มม. หลัง-แบบโช้คคู่ปรับได้ 6 ระดับปรับพรีโหลดได้ ระยะยุบ 102 มม.
หัวใจบรรจุเครื่องยนต์สูบเดี่ยว SOHC ขนาด 349 ซีซี กำลังสูงสุด 20.2 แรงม้า ที่ 6100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตรที่ 4000 รอบ/นาที เกียร์ 5 สปีด ล้ออัลลอยพร้อมยางขนาด 17นิ้ว ระบบเบรกดิสก์เบรก2ล้อพร้อม ABS แบบสองทิศทาง เบรกหน้าจานขนาด 300มม. คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ เบรกหลังจานขนาด 270 มม. คาลิปเปอร์ 1 ลูกสูบ
การขับขี่นั้นแรกเริ่มทีมงาน Royal Enfield วางเส้นทางให้ขี่ Hunter 350 จากโรงแรง W ถนนสาทร ผ่านใจกลางเมืองย่านเยาวราชทะลุออกปิ่นเกล้า แล้ววิ่งอ้อมไปทางสะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ แล้วไปทำกิจกรรมที่ริมทะเลสาปเมืองทองธานี ก่อนจะจบทริปที่จุดเริ่มต้น ในเวลากลางคืน แต่ด้วยสภาพอากาศที่มีฝนตกพรำๆ สลับหนาเม็ดบางช่วงทำให้ผู้เขียนตัดสินใจขอขี่ในช่วงเช้าแทน เพื่อความปลอดภัย ซึ่งทีมงาน Royal Enfield ตอบรับด้วยความยินดี โดยท่านใดที่มีความพร้อมและมั่นใจสามารถขี่ไปตามกำหนดได้เช่นเดียวกัน
ความรู้สึกแรกเกิดขึ้นตั้งแต่การติดเครื่องยนต์เพราะเราค่อนข้างสงสัยว่าจะสั่นเหมือนกับเครื่องยนต์สูบเดียวของ Royal Enfield ในรุ่นก่อนหน้าหรือไม่ ผลลัพธ์คือ เครื่องยนต์นิ่งดี แรงสั่นสะเทือนน้อยมาก แถมยังคงเอกลักษณ์เรื่องเสียงท่อไอเสียอันมีสเน่ห์เอาไว้ได้อีกด้วย
ที่เราโฟกัสในเรื่องการสั่นเป็นสำคัญเนื่องจากเคยมีประสบการณ์ที่เหนื่อยจากการขับขี่รุ่น 500 ซีซี มาก่อน และเมื่อได้สอบถามทีมผู้บริหารและทีมพัฒนารถ ได้คำตอบที่น่าทึ่งว่า Royal Enfield นั้นมีทีมงานที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าและผู้ที่ใช้งานจากทั่วโลก แล้วส่งตรงให้ทีมพัฒนาเอาไว้ใช้เพื่อแก้ไขข้อตำหนิติติงของผู้ใช้งาน เพื่อสร้างรถให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยผลงานล่าสุดคือ Hunter 350 คันนี้
ตบเกียร์ ปล่อยคลัชท์ บิดคันเร่ง Royal Enfield Hunter 350 ออกตัวด้วยความรู้สึกที่กระฉับกระเฉง ไม่แรงมากแต่เพียงพอให้ความรู้สึกสนุกสนานในการขับขี่ได้อย่างที่ต้องการ จังหวะเปลี่ยนเกียร์ส่งต่อกำลังราบรื่นไร้การกระตุก ยิ่งบิดคันเร่งเพิ่มแรง เสียงท่อดังแบบเร้าใจในสไตล์ของรถขนาดกลาง เรียกว่าถ้าคุณชอบเสียง “บัฟ บัฟ” จากปลายท่อไอเสียในแบบทุ้มๆนุ่มนวล รับรองได้ว่า Hunter 350 จะไม่ทำให้คุณผิดหวัง
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดหลังการขับขี่แบบในเมืองคือ ความคล่องตัว Royal Enfield Hunter 350 ควบคุมง่าย จังหวะเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวตัวรถรู้สึกเบา ขี่สบาย โดยระดับองศาของแฮนด์อยู่พอดีกับตัวผู้เขียน แม้จะขี่นานต่อเนื่องนับชั่วโมงแบบในเมืองกลับไม่เมื่อยหรือล้าแต่อย่างใด โดยรวมขี่นิ่งดี ไร้การสั่นแบบน่ากลัว เรียกว่าแก้ปัญหามาได้ตรงจุด
ความเร็วสูงสุดที่เราขี่ได้คือราว 110 กม./ชม. ส่วนความเร็วสูงสุดที่เคลมไว้คือ 120 กม./ชม. แต่สิ่งนี้มิใช่ประเด็นสำคัญในการเลือกคบหากับ Royal Enfield Hunter 350 จุดใหญ่ใจความคงอยู่ที่เรื่องของคุณภาพชิ้นส่วนและการประกอบที่ต้องใช้คำว่า พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะสีพ่นและการเก็บงานที่ดูดีเกินกว่าราคาค่าตัวระดับแสนต้นๆ
เฉพาะรุ่น Rebel ที่แพงกว่า 3,000 บาท นอกจากสีแบบทูโทน จะมีการติดตั้งหน้าจอเพิ่มอีกหนึ่งตัว โดยเจ้าหน้าจอตัวนี้รองรับการเชื่อมต่อแอพลิเคชันผ่านระบบลูทูธ สามารถนำทางและแสดงทิศทางการขับขี่ผ่านหน้าจอให้ผู้ขับขี่ ไม่จำเป็นต้องติดตั้งมือถือบนแฮนด์ เป็นหนึ่งออปชันที่เจ๋งดีเรายินดีจ่ายเพิ่มเพื่อสิ่งนี้
อย่างไรก็ตาม เสียดายอยู่หนึ่งอย่างคือ ไม่สามารถวัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจากการขับขี่ได้ นอกนั้นถือว่าได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกคบหาได้ โดยสรุปแล้วเป็นรถที่ทำออกมาได้โดนใจวัยรุ่นกว่าเดิม ขับขี่ง่าย คุณภาพชิ้นส่วนดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดคือ ราคาจับต้องได้ง่ายด้วย โดย Royal Enfield Hunter 350 จะเริ่มส่งมอบได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป