xs
xsm
sm
md
lg

BYD ผู้เล่นที่น่าจับตามองตลาดรถไฟฟ้า TESLA มีหนาวเหตุผลิตครบจบต้นน้ำยันปลายน้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีข่าวที่น่าสนใจคือ การที่ BYD บริษัทรถยนต์ของจีนซึ่งมี Warren Buffet มหาเศรษฐีของโลกเข้าไปถือหุ้นด้วยนั้น สามารถทำตัวเลขยอดขายแซงหน้า Tesla และขยับขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลกที่มียอดขายสูงสุด ตรงนี้เรียกเสียงฮือฮาได้ชั่วครู่ และขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาถึงการหยิบประเด็นนี้มาเล่นของสื่อมวลชนว่า สุดท้ายแล้ว ไม่ได้มีการวิเคราะห์หรือเจาะลึกลงไปให้ชัดเจน

ตามหัวข้อข่าวนั้นยึดตัวเลขจากข้อมูลที่ BYD ทำการ Tweet ออกมาทาง Twitter ซึ่งระบุว่า ทางแบรนด์มียอดขายรวมในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มากกว่า 640,000 คัน และเฉพาะในเดือนมิถุนายนมียอดขายรถยนต์ที่เรียกว่า NEV หรือ New Energy Vehicle มากถึง 134,036 คันหรือเพิ่มขึ้น. 126% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตามมา

Tweet ของ BYD ที่ระบุถึงยอดขายรถยนต์ในตลาด NEV ทั่วโลกที่มีมากกว่า 640,000 คัน ซึ่งถูกนำมาตรความว่าสามารถแซงหน้า Tesla ไปได้ ทั้งที่ตลาด NEV มีทั้ง BEV และ PHEV
NEV ไม่ใช่ BEV แต่มี BEV รวมอยู่ข้างใน

NEV หรือ New Energy Vehicle คือ นิยามศัพท์ที่รัฐบาลจีนใช้เรียกรถยนต์ที่มีการเสียบปลั๊ก ซึ่งนั่นหมายความถึงรถยนต์พลังไฟฟ้า BEV หรือ Battery Electric Vehicle และ Battery Electric Vehicle หรือ Plug-in Hybrid Electric Vehicle ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ยังเป็นไฮบริดมีเครื่องยนต์สันดาปภายในร่วมอยู่ในระบบรวมอยู่ด้วย ซึ่งบางที่คำว่า NEV อาจจะรวมถึงรถยนต์ไฮบริดที่เราคุ้นเคยกันมานาน และรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงหรือ FCEV-Fuel Cell Electric Vehicle รวมอยู่ด้วย

ดังนั้น เมื่อ BYD ประกาศตัวเลขออกมานั้นถือเป็นตัวเลขที่รวมทั้ง 2 รูปแบบการขับเคลื่อนที่พวกเขามีขายอยู่ในตลาดเข้าไปด้วย ซึ่งจะต่างจากที่ Tesla มีนั่นคือ รถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV เพียงอย่างเดียว

นั่นก็เลยทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าสุดท้ายแล้ว BYD ขึ้นแท่นตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้า (BEV) แทนที่ Tesla จริงหรือ เพราะถ้านับจริงๆ แล้ว ยังไม่ใช่เพราะจากการเปิดเผยตัวเลขออกมานั้นพบว่า จากยอดขายรวมรถยนต์แบบ NEV ครึ่งแรกของปี 2022 ของ BYD ที่มีตัวเลขอยู่ที่ 641,350 คัน ใน 6 เดือนแรกของปี 2022 หรือเพิ่มขึ้นถึง 315% เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว แต่จำนวนทั้งหมดเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า หรือ BEV 323,519 คันที่เหลือเป็นรถยนต์แบบ PHEV

ขณะที่ Tesla ซึ่งมีแต่รถยนต์พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว มีตัวเขยอดขายอยู่ที่ 564,743 คัน และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นคือรถยนต์พลังไฟฟ้าล้วน นั่นหมายความว่า Tesla นั้นยังคงเป็นหมายเลข 1 ของค่ายผู้ผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้า ไม่ใช่รวม PHEV เข้าไป


แต่ก็ยังเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามอง

BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์จีนที่ย่อมาจาก Build Your Dream ก่อตั้งโดย Wang Chuanfu ตั้งแต่ปี 1995 หรือราว 26 ปีก่อน และในช่วงที่ผ่านมาพยายามผลักดันตัวเองขึ้นสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าออกสู่ตลาด จนในปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลกด้วยตัวเลขการประเมินเมื่อปี 2021 อยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่ Tesla (อันดับที่ 1 มูลค่า 24.3 ล้านล้านบาท) และ Toyota (อันดับที่ 1 มูลค่า 7.2 ล้านล้านบาท)

ถ้ามองในแง่ภาพรวมของตลาดโดยยึดคำว่า NEV เป็นหลักนั้น จริงๆ แล้วสถานการณ์ของ Tesla ตกเป็นรอง BYD มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งในเดือนนั้น BYD มียอดขายรวมในตลาด NEV อยู่ที่ 114,993 คัน ขณะที่ Tesla อยู่ในอันดับที่ 2 มียอดขายเพียง 57,472 คัน และเมื่อรวมกับตัวเลขยอดขายอย่างไม่เป็นทางการของเดือนมิถุนายนนั้น ทำให้ BYD สามารถทำตัวเลขแซงหน้า Tesla ไปได้สำเร็จ

จากการเปิดเผยของ Forbes ระบุว่า ยอดขายช่วงครึ่งแรกของปีนี้ของ BYD ซึ่งมี Warren Buffet มหาเศรษฐีของโลกเข้าไปถือหุ้นด้วยนั้น มียอดขายอยู่ที่ 641,350 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากยอดขายในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 315% ขณะที่ Tesla มียอดขายอยู่ที่ 564,743 คันหรือเพิ่มขึ้น 46% ซึ่งจาก Twitter ของ BYD นั้นระบุว่าเฉพาะแค่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มียอดขาย 134,036 คันหรือเพิ่มขึ้น. 126% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

เชื่อว่าจากทิศทางและแนวโน้มของตลาดที่มีปริมาณความต้องการในด้านรถยนต์พลังไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จะทำให้ BYD และ Tesla สามารถเติบโตได้อีกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้


ยอดขายของ BYD มาแรงมากในตลาด NEV ช่วงครึ่งแรกของปี 2022 โดยมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 315%
โชคและกลยุทธ์ที่ทำให้ BYD แซงหน้าขึ้นมาได้

ถ้ามองในแง่ของยอดขายที่เกิดขึ้นช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นหลัก ถ้าไม่นับเรื่องความได้เปรียบในแง่ของราคาแล้ว ต้องบอกว่า BYD ได้รับผลประโยชน์จากหลายๆ เรื่องโดยตรงจนทำให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่ทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ที่พุ่งทะยานเป็นผลจากการผลักดันมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลจีนที่จูงใจให้ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และอีกสาเหตุสำคัญคือ BYD มีราคาเริ่มต้นที่ราว 32,800 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถูกกว่า Tesla เป็นอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบรถยนต์ในระดับเดียวกัน

นอกจากนั้น สาเหตุที่ Tesla มียอดขายได้ไม่ดีนัก เกิดจากการล็อกดาวน์ในจีนในช่วงไตรมาสที่ 2 ส่งผลต่อกำลังการผลิตลดลงเป็นอย่างมาก แต่ BYD ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงนักเนื่องจากไม่มีโรงงานสำคัญในพื้นที่ล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับความได้เปรียบในเรื่องของการมีบริษัทผลิตชิปอยู่ในเครือด้วยจึงไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการขาดแคลนชิปในการผลิตรถยนต์เหมือนกับแบรนด์อื่นๆ ที่อยู่ในตลาด

สิ่งที่ทำให้ BYD น่าจับตามองไม่ใช่แค่เรื่องของยอดขาย แต่เป็นเรื่องอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เพราะว่าปัจจุบัน BYD แทบจะเป็นบริษัทที่ผลิตทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ BYD มีเทคโนโลยีที่เป็นสิทธิบัตรจำนวนมาก มีประสบการณ์ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของตัวเอง อีกทั้งสามารถผลิตตัวกักเก็บพลังงาน รวมถึงชิปได้อีกด้วย ทำให้เป็นบริษัทที่สามารถผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าได้ด้วยต้นทุนต่ำที่สุดในโลก ส่งผลต่อราคาขายของตัวรถที่ทำให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด ในขณะที่ Tesla เพิ่งประกาศปรับราคารถยนต์ของตัวเองเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหว ซึ่งตรงนี้จะส่งผลในการแข่งขันระยะยาวอย่างแน่นอน


นอกจากนี้ BYD ยังแซงหน้า LG Energy ของเกาหลีใต้ในการขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของการผลิตแบตเตอรี่มาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการทำงานของ BYD ที่ไม่ได้มองแค่เรื่องของการผลิตตัวรถยนต์เท่านั้น

นอกจากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว BYD ยังเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่เบอร์ 2 ของโลกมาตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า เมื่อถึงสิ้นปีนี้ BYD จะสามารถผงาด และทำตัวเลขยอดขายไม่ว่าจะในรูปแบบ NEV หรือเฉพาะ BEV ที่แซงหน้า Tesla ไปได้หรือไม่ แต่ถ้าตราบใดที่จีนยังเป็นตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลก การที่ BYD จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมีความเป็นไปได้สูงมาก เพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้นเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น