เปิดบทสัมภาษณ์พิเศษ “สเตฟาน วิงเคิลมันน์” ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) เนื่องในการเดินทางมาร่วมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด Huracán Tecnica ที่ประเทศไทย ซึ่งจะมีการเปิดเผยทั้งเรื่องราวของรถรุ่นใหม่และทิศทางในอนาคตของแบรนด์ซูเปอร์คาร์ จะไปต่ออย่างไรท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์เวลานี้
แผนการทำตลาดลัมโบร์กินี
เราจะรักษาระดับความต้องการของลูกค้าให้มากกว่าปริมาณรถที่ลัมโบกินีผลิตได้ เพื่อให้ตลาดมีเสถียรภาพ สร้างแบรนด์ให้มีคุณค่ากับผู้ใช้งาน โดยตั้งใจเอาไว้ว่าจะแบ่งสัดส่วนการจำหน่ายให้พอๆ กันใน 3 ตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา, ยุโรป และ เอเชียแปซิฟิค แต่ปัจจุบันรถส่วนใหญ่ถูกส่งไปที่ตลาดอเมริกาเป็นส่วนมาก ขณะที่ตลาดอันดับ 2 คือประเทศจีน
ส่วนกรอบเวลาจะมีการแนะนำเทคโนโลยี ปลั๊กอินไฮบริด ในปี ค.ศ. 2024 โดยไม่มีรถแบบไฮบริดออกมาจำหน่ายแต่อย่างใด เพราะมองว่าไฮบริดไม่ตอบโจทย์ของซูเปอร์คาร์ ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50% ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มลูกค้าซูเปอร์คาร์ยังคงซื้อรถที่ใช้เครื่องยนต์อยู่
ลัมโบกินีจะทำรถสปอร์ตไฟฟ้าหรือไม่
ตามแผนงานของลัมโบกินี จะมีการแนะนำรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์แบบไฟฟ้ารุ่นแรกในปี ค.ศ.2028 แต่ขณะนี้ยังไม่ตัดสินใจ เนื่องจากยังต้องรอผลของการประชุมสภายุโรปว่าจะตัดสินเรื่องของกฎหมายการห้ามขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในหลังปี ค.ศ. 2035 อย่างไร เพราะถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมิใช่น้อย
นอกจากนั้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีเรื่องของ ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง, ระยะเวลาในการชาร์จ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ต้องรองรับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาให้ถ้วนถี่
ลัมโบกินี ไม่ได้ต้องการจะเป็นคนแรกที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่เราต้องการเป็นคนที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด ซึ่งคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่จะทำออกมาน่าจะเป็นรุ่น Urus ส่วนหลังจากปี ค.ศ.2030 ไปแล้วจะทำตลาดรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น
รถรุ่นใหม่?
ในปีนี้จะมีการปรับโฉม Urus ช่วงประมาณเดือนสิงหาคม ซึ่งจะเปิดตัวที่อเมริกาเป็นประเทศแรก ต่อจากนั้นในช่วงปลายปีจะเป็น Huracan ใหม่ อีกหนึ่งรุ่นที่จะเปิดตัวตามมา ส่วนรถแบบ GT 2+2 ที่นั่ง อยู่ในแผนการทำตลาดด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เราไม่หยุดพัฒนารถเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
การดูแลลูกค้า
ลัมโบกินี มีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะดูแลลูกค้าทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกัน เราทำตลาดใน 170 ประเทศ โดยมีแกนหลักคือ การจัดกิจกรรมเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษ และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนลัมโบกินี แน่นอนว่าลูกค้าทุกคนคาดหวังการบริการที่ดี ฉะนั้นเราจึงเข้มงวดในส่วนบริการหลังการขายอย่างมาก
มองตลาดซูเปอร์คาร์ในไทยอย่างไร
ตลาดซูเปอร์คาร์ของประเทศไทยเติบโตดี เป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในส่วนของลัมโบกินีเอง มียอดขายในปีที่แล้วมากถึง 75 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 32% ซึ่งในปีนี้คาดหมายว่า เรนาซโซมอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายลัมโบกินีในไทยจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว น่าจะมียอดขายราว 75-80 คัน
ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ของลัมโบกินีในไทยจะพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ (ราว90%) ดังนั้นเราจึงสร้างโชว์รูมให้เหมือนกับเป็นบ้านหลังที่สองของผู้เป็นเจ้าของลัมโบกินี พร้อมกับการจัดกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษ รับฟังความเห็นต่างๆ นำมาปรับปรุง (ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่ สเตฟาน วิงเคิลมันน์ มาร่วมงานเปิดตัวรถรุ่น Huracán Tecnica ในไทย)
ถึงบรรทัดนี้ นายใหญ่ของแบรนด์กระทิงเปลี่ยว แม้จะยังไม่ฟันธงแบบ 100% แต่พอจะมองเห็นภาพชัดเจนว่า ทิศทางของการพัฒนารถยนต์จะมุ่งไปที่การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่า จะเร็วหรือช้า เพียงใด ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ยังมีผลต่อการแจ้งเกิดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว
แผนการทำตลาดลัมโบร์กินี
เราจะรักษาระดับความต้องการของลูกค้าให้มากกว่าปริมาณรถที่ลัมโบกินีผลิตได้ เพื่อให้ตลาดมีเสถียรภาพ สร้างแบรนด์ให้มีคุณค่ากับผู้ใช้งาน โดยตั้งใจเอาไว้ว่าจะแบ่งสัดส่วนการจำหน่ายให้พอๆ กันใน 3 ตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา, ยุโรป และ เอเชียแปซิฟิค แต่ปัจจุบันรถส่วนใหญ่ถูกส่งไปที่ตลาดอเมริกาเป็นส่วนมาก ขณะที่ตลาดอันดับ 2 คือประเทศจีน
ส่วนกรอบเวลาจะมีการแนะนำเทคโนโลยี ปลั๊กอินไฮบริด ในปี ค.ศ. 2024 โดยไม่มีรถแบบไฮบริดออกมาจำหน่ายแต่อย่างใด เพราะมองว่าไฮบริดไม่ตอบโจทย์ของซูเปอร์คาร์ ส่วนเป้าหมายระยะยาวคือลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 50% ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มลูกค้าซูเปอร์คาร์ยังคงซื้อรถที่ใช้เครื่องยนต์อยู่
ลัมโบกินีจะทำรถสปอร์ตไฟฟ้าหรือไม่
ตามแผนงานของลัมโบกินี จะมีการแนะนำรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์แบบไฟฟ้ารุ่นแรกในปี ค.ศ.2028 แต่ขณะนี้ยังไม่ตัดสินใจ เนื่องจากยังต้องรอผลของการประชุมสภายุโรปว่าจะตัดสินเรื่องของกฎหมายการห้ามขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในหลังปี ค.ศ. 2035 อย่างไร เพราะถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมิใช่น้อย
นอกจากนั้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีเรื่องของ ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง, ระยะเวลาในการชาร์จ และโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่ต้องรองรับการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้า ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาให้ถ้วนถี่
ลัมโบกินี ไม่ได้ต้องการจะเป็นคนแรกที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่เราต้องการเป็นคนที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด ซึ่งคาดว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่จะทำออกมาน่าจะเป็นรุ่น Urus ส่วนหลังจากปี ค.ศ.2030 ไปแล้วจะทำตลาดรถยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น
รถรุ่นใหม่?
ในปีนี้จะมีการปรับโฉม Urus ช่วงประมาณเดือนสิงหาคม ซึ่งจะเปิดตัวที่อเมริกาเป็นประเทศแรก ต่อจากนั้นในช่วงปลายปีจะเป็น Huracan ใหม่ อีกหนึ่งรุ่นที่จะเปิดตัวตามมา ส่วนรถแบบ GT 2+2 ที่นั่ง อยู่ในแผนการทำตลาดด้วย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เราไม่หยุดพัฒนารถเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
การดูแลลูกค้า
ลัมโบกินี มีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะดูแลลูกค้าทั่วโลกอย่างเท่าเทียมกัน เราทำตลาดใน 170 ประเทศ โดยมีแกนหลักคือ การจัดกิจกรรมเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความพิเศษ และเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนลัมโบกินี แน่นอนว่าลูกค้าทุกคนคาดหวังการบริการที่ดี ฉะนั้นเราจึงเข้มงวดในส่วนบริการหลังการขายอย่างมาก
มองตลาดซูเปอร์คาร์ในไทยอย่างไร
ตลาดซูเปอร์คาร์ของประเทศไทยเติบโตดี เป็นที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในส่วนของลัมโบกินีเอง มียอดขายในปีที่แล้วมากถึง 75 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 32% ซึ่งในปีนี้คาดหมายว่า เรนาซโซมอเตอร์ ตัวแทนจำหน่ายลัมโบกินีในไทยจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว น่าจะมียอดขายราว 75-80 คัน
ทั้งนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ของลัมโบกินีในไทยจะพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ (ราว90%) ดังนั้นเราจึงสร้างโชว์รูมให้เหมือนกับเป็นบ้านหลังที่สองของผู้เป็นเจ้าของลัมโบกินี พร้อมกับการจัดกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ให้ลูกค้ารู้สึกเป็นคนพิเศษ รับฟังความเห็นต่างๆ นำมาปรับปรุง (ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การที่ สเตฟาน วิงเคิลมันน์ มาร่วมงานเปิดตัวรถรุ่น Huracán Tecnica ในไทย)
ถึงบรรทัดนี้ นายใหญ่ของแบรนด์กระทิงเปลี่ยว แม้จะยังไม่ฟันธงแบบ 100% แต่พอจะมองเห็นภาพชัดเจนว่า ทิศทางของการพัฒนารถยนต์จะมุ่งไปที่การขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่ว่า จะเร็วหรือช้า เพียงใด ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ เพราะปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ยังมีผลต่อการแจ้งเกิดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว