โตโยต้าประเทศอินเดียเผยโฉม “เออร์เบิน ครูสเซอร์ ไฮไรเดอร์” (Urban Cruiser Hyryder) ใหม่ พร้อมขุมพลังไมลด์ไฮบริด 1.5 ลิตร และฟูลไฮบริด 1.5 ลิตร ติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานครบครันเทียบชั้นรถหรู ขณะที่ราคาจำหน่ายจะถูกประกาศอีกครั้ง
หลังจากที่มีการปล่อยภาพและคลิปทีเซอร์ออกมาก่อนหน้านี้ ล่าสุด โตโยต้าประเทศอินเดียได้ทำการเปิดตัว เออร์เบิน ครูสเซอร์ ไฮไรเดอร์ ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชูจุดเด่นด้วยขุมพลังที่มีให้เลือกทั้งเบนซินไมลด์ไฮบริดขนาด 1.5 ลิตร ที่เรียกว่า NeoDrive ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นทางเลือก และเบนซินไฮบริดขนาด 1.5 ลิตร ส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ e-Drive
เริ่มต้นที่ขุมพลัง NeoDrive เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 101.9 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับระบบ ISG (Integrated Starter Generator) ขนาด 12 โวลต์ และแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ขนาด 6Ah สามารถเลือกได้ทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ AWD เป็นทางเลือกในรุ่นท็อปสุด ซึ่งจะถูกจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะเท่านั้น
ขณะที่ขุมพลังไฮบริดทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร TNGA ให้กำลังสูงสุด 92.4 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 122 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 - 4,800 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 80.2 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะได้กำลังสูงสุด 115.56 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ e-Drive พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน
ตัวถังของ เออร์เบิน ครูสเซอร์ ไฮไรเดอร์ มีขนาดความยาว 4,365 มม. ความกว้าง 1,795 มม. ความสูง 1,635 มม. และความยาวฐานล้อ 2,600 มม. เทียบกับ โคโรลล่า ครอส ที่มีความยาว 4,460 มม. ความกว้าง 1,825 มม. ความสูง 1,620 มม. และความยาวฐานล้อ 2,640 มม. แสดงให้เห็นว่า เออร์เบิน ครูสเซอร์ ไฮไรเดอร์ มีขนาดเล็กกว่าในทุกมิติ พร้อมห้องโดยสารที่สามารถรองรับได้ 5 ที่นั่ง
เออร์เบิน ครูสเซอร์ ไฮไรเดอร์ มีให้เลือกถึง 7 เกรดในตลาดอินเดีย โดยเกรดท็อปสุด (รุ่น V) ทั้ง NeoDrive และ Hybrid ถูกติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow-me-home, ปุ่มปรับระดับไฟหน้าสูง-ต่ำภายในห้องโดยสาร, ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED, ไฟท้ายแบบ LED, ที่ปัดน้ำฝนแบบปรับหน่วงเวลา, เสาอากาศแบบครีบฉลาม, หลังคาซันรูฟ, ตัวถังสีทูโทนหลังคาดำ (ขึ้นอยู่กับสีภายนอก) และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว เป็นต้น
ภายในห้องโดยสารติดตั้งอุปกรณ์ล้ำสมัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว, แผงคอนโซลตกแต่งด้วยวัสดุซอฟต์ทัช, หน้าจอ Head-up Display, หน้าจออินโฟเทนเมนท์ขนาด 9 นิ้ว Smart Play Cast Audio รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto, ระบบชาร์จไฟแบบไร้สาย กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, พวงมาลัยปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย, เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบเป่าระบายอากาศ, เบาะหลังปรับเอนและปรับพับแยก 60:40, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์หลัง, ช่องชาร์จไฟ USB บริเวณตอนหลัง และไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร เป็นต้น
ขณะที่ระบบความปลอดภัยมีทั้งกล้องมองภาพ 360 องศา, ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Hold Control, ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง TPMS, ระบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ และระบบช่วยควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน Hill Descent (เฉพาะรุ่น AWD เท่านั้น) ส่วนราคาจะถูกประกาศอีกครั้งในภายหลัง