ทำตลาดต่อเนื่องมาจนถึงเจเนอเรชันที่ 5 เป็นเรียบร้อย สำหรับ Range Rover เรือธงของค่าย Land Rover ที่ยกระดับกลายมาเป็น ซับแบรนด์ เพื่อสร้างความแตกต่างโดยเฉพาะในเรื่องของความหรูหรา สะดวกสบาย และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุด รวมถึงที่สุดในด้านสมรรถนะการขับขี่ด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้ทั่วทั้งโลกประกาศปิดประเทศจำกัดการเข้า-ออก รวมถึงประเทศไทย จนกระทั่งมีวัคซีนออกมาและประชาชนได้รับฉีดอย่างทั่วถึงโดยกลุ่มประเทศตะวันตกได้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพียงพอที่จะเดินทางและกลับประเทศไทยได้อย่างสะดวกขึ้น
ดังนั้น ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง จึงตอบรับคำเชิญ ของทีมงาน แลนด์ โรเวอร์ โดยตัวแทนจำหน่าย บริษัท อินช์เคป ประเทศไทย จำกัด ในการเข้าร่วมทดลองขับ Range Rover โฉมใหม่ล่าสุด ที่เมือง ซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

โครงสร้างใหม่ หัวใจใหม่
Range Rover ได้รับการออกแบบโครงสร้างตัวถังใหม่ทั้งหมด ในชื่อ MLA-Flex ที่เป็นการผสมผสานของการเลือกใช้วัสดุหลากหลายชนิดที่นำมาประกอบเป็นตัวถัง ทั้งอลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงแตกต่างกัน เพื่อให้ตัวรถสมดุลและแข็งแกร่ง รองรับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายโดยมีรุ่นตัวถังมาตรฐาน(SWB)และรุ่นตัวถังยาว(LWB)

เช่นเดียวกับการออกแบบภายในที่ปรับเพิ่มหน้าจอใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลายรวมถึงติดตั้งระบบซิมการ์ดชนิดฝังในตัวรถพร้อมปล่อยไวไฟให้ใช้งานได้อีกด้วย ขณะที่เบาะที่นั่งมีให้เลือกทั้ง 4 หรือ 5 ที่นั่ง การเพิ่มรุ่น 7 ที่นั่งเข้ามาในไลน์การขาย พร้อมด้วยทางเลือกที่หรูหราในเวอร์ชัน SV

สำหรับหัวใจมากับหลากหลายทางเลือกทั้ง ดีเซลและเบนซิน โดยมีทั้งแบบไมลด์ไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริดที่จะตามออกมา ส่วนแบบไฟฟ้าล้วนมีกำหนดวางจำหน่ายในอีก 2 ปีข้างหน้า ส่วนตัวเด่นสุดเป็นรุ่นเครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 4.4 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 530 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่พัฒนาร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู

ขณะที่ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อเวอร์ชันใหม่สามารถกระจายแรงบิดได้อย่างแม่นยำตามความต้องการใช้งาน ระบบช่วงล่างปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โช้คอัพเป็นแบบถุงลม ปรับความแข็งและระดับความสูงต่ำได้หลายระดับตามการใช้งาน โดยระบบเสริมความปลอดภัยมีให้อย่างครบถ้วนตามมาตรฐานสูงสุดของรถยุคนี้


ขับแน่น นุ่ม สบายขึ้น
สำหรับการทดลองขับ เป็นไปตามสไตล์ของ JLR (Jaguar Land Rover) ที่จะจัดให้เราศึกษาข้อมูลต่างๆ บนเครื่องบินและเมื่อลงจากเครื่องจะได้พบกับ Range Rover โฉมใหม่ ซึ่งจอดเรียงรายรอให้สื่อมวลชนจากทั่วโลกมาลองขับ โดยเราได้รถหมายเลข 2 หัวใจเป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตร และเมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรากดคันเร่งออกตัวไปทันที

รถทุกคันในทริปเป็นพวงมาลัยซ้าย อาจจะตรงข้ามกับการทำตลาดในบ้านเราแต่พื้นฐานทุกอย่างรับประกันได้ว่า เหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย ความรู้สึกแรก หลังรถเคลื่อนตัวคือ ช่วงล่างหนึบแน่นขึ้นชัดเจน ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะบินมาราว 3 วัน ผู้เขียนได้มีโอกาสทบทวนความจำด้วยการลองขับ Range Rover โฉมก่อนหน้า จึงจับความรู้สึกที่แตกต่างได้อย่างไม่พลาด

ทั้งนี้รวมไปถึง ก่อนหน้าราวหนึ่งสัปดาห์ได้มีโอกาสของ Land Rover Defender โฉมใหม่ล่าสุด รุ่น P400e ปลั๊กอินไฮบริดด้วย จึงทำให้ทราบว่า Ranger Rover เจน 4 มีบุคคลิกการขับที่แตกต่างจาก Defender ไม่น้อย และผู้เขียนคาดหวังว่า Range Rover เจน5 จะปรับปรุงมาในแนวทางเดียวกับ Defender ซึ่งทีมวิศวกร ไม่ทำให้เราผิดหวัง


จากความรู้สึกนุ่มยวบในโฉมก่อนหน้า กลายเป็นความนุ่มหนึบ แน่น และมั่นคงไม่ว่าจะขับเร็วหรือช้า แตกต่างจากเดิมชัดเจน เช่นเดียวกับความเงียบภายในห้องโดยสารที่รู้สึกว่า เงียบกว่าเดิมเสียงของเครื่องยนต์ V8 ได้ยินเพียงเบาๆ เท่านั้น ขณะที่ระบบตัดเสียงรบกวนบนหัวหมอน ด้วยเวลาที่กระชั้นทำให้ไม่ได้ทดลองใช้งาน


ตัวรถแม้จะสูงใหญ่ แต่การบังคับควบคุมกับง่าย ด้วยพวงมาลัยขนาดที่ใหญ่แบบไฟฟ้าแปรผันตามความเร็ว รัศมีวงเลี้ยวปรับใหม่ แคบลงกว่าเดิม ทำให้การเลี้ยวและการขับในเมืองหรือพื้นที่แคบง่ายขึ้น เรียกว่า Range Rover ใหม่ปรับตามลักษณะการใช้งานและตรงใจลูกค้ามากขึ้น

ในส่วนของอัตราเร่งทำได้อย่างประทับใจ คันเร่งน้ำหนักกำลังดี กดเป็นมาตามเท้าอย่างทันใจ ไร้อาการรอรอบ แถมด้วยความนุ่มนวลของระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ไร้รอยต่อ เหมาะมากสำหรับ การเป็นรถนั่งทางด้านหลัง เพราะคุณจะแทบไม่รู้สึกถึงจังหวะของการกระชาก ถ้าไม่ขับแบบโหดร้ายจริงๆ ซึ่งชุดขับเคลื่อนทั้งหมดเป็นการหยิบยกมาจากค่ายบีเอ็มดับเบิลยูที่ร่วมมือกันพัฒนาตรงจุดนี้

ด้านระบบเบรก เชื่อมั่นและอุ่นใจได้เต็มร้อย น้ำหนักปรับมาให้พอดี ไม่มีอาการหัวทิ่ม โดยการขับในอเมริกาความเร็วสูงสุดที่ใช้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 55-65 ไมล์/ชั่วโมง หรือราว 90-110 กม./ชม. เป็นการขับที่เน้นเรื่องความปลอดภัยตามกฎหมายและเพื่อให้รับรู้ถึงสมรรถนะที่เปลี่ยนแปลงไป



ตามสไตล์ของแลนด์ โรเวอร์ จะไม่พลาดในส่วนของการขับแบบออฟโรด แม้จะเป็นรถหรู ที่ไม่เน้นเรื่องของการลุยมากนัก แต่ทีมงานจะเส้นทางแบบออฟโรดระดับหนึ่งให้เราได้ลองระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เรียกว่าผ่านทุกอุปสรรคไปได้อย่างง่ายดาย โดยเราไม่ต้องใช้สกิล แค่เพียงปรับระบบให้เหมาะกับสภาพของผิวถนนที่จะไป ตัวรถจะจัดการทำอย่างให้อย่างสมบูรณ์

หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนรถสลับให้เราไปลองขับในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนมีสองส่วนหลักคือ การตกแต่งภายใน คันแรกเป็นแบบหนังชนิดหรูหรา ขณะที่ดีเซลเป็นผ้าให้ความรู้สึกที่สปอร์ตเรียบง่าย อารมณ์เปลี่ยนไปเหมือนเป็นรถคนละรุ่น

อีกหนึ่งสิ่งที่แตกต่างคือ เสียงของเครื่องยนต์ ในตัวดีเซลเราจะได้ยินชัดกว่ารุ่นเบนซินเล็กน้อย และเสียงไม่ไพเราะเสนาะหูเท่ารุ่นใหญ่ V8 ด้วย ซึ่งคงต้องทำใจเพราะ สนนราคาค่าตัวต่างกันพอสมควร ด้านสมรรถนะการขับขี่โดยภาพรวมแล้ว แตกต่างกันไม่มาก ทั้งการเร่งออกตัวหรือการแซง หากไม่นับเรื่องเสียงเครื่องยนต์เราอาจจะแยกไม่ออกเพราะด้วยเงื่อนไขการจำกัดด้านความเร็วสูงสุดที่ขับได้เพียง 110 กม./ชม.

รวมระยะทางที่เราขับในวันแรกทั้งสองคันมากกว่า 400 กิโลเมตร ทั้งการขับบนถนนเรียบปกติ การลุยออฟโรดแบบหลุมหักมุมรูปตัว V ลุยโคลน และถนนแบบลูกรังเช่นเดียวกับเมืองไทย Range Rover ทำได้ประทับใจมาขับแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องของเสียงลมปะทะบริเวณกรอบประตู ไม่แน่ใจว่าเพราะลมภายนอกที่แรงมากมีผลด้วยหรือไม่ ทำให้เมื่อขับด้วยความเร็วเกิน 90 กม./ชม. เราจะได้ยินเสียงลมเบาๆ ขณะที่เสียงยางบดถนนเทียบจะไม่ได้ยินเลย ขอทิ้งไว้เป็นข้อสังเกตุ หากมีโอกาสได้ขับในประเทศไทยอีกครั้งจะมาตอบให้

วันรุ่งขึ้นเรายังได้ขับต่ออีกรอบ โดยคราวนี้ทีมงานจัดรุ่นพิเศษ SV มาให้ หัวใจเป็นเครื่องยนต์แบบ V8 เฉกเช่นวันแรกที่ได้ลองขับ โดยความแตกต่างของรุ่น SV คือการตกแต่งภายนอกและภายใน ให้หรูหราพิเศษมากกว่าปกติ แต่ไม่มีการปรับปรุงสมรรถนะของการขับเคลื่อนแต่อย่างใด

การขับ SV เราคงไม่เล่าซ้ำ แต่จะโฟกัสในเรื่องของการนั่งทางด้านหลังเป็นหลักแทน เพราะทีมงานจัดเจ้าหน้าที่ขับให้เรานั่งแบบผู้บริหาร โดยเบาะนั่งทางด้านหลังเป็นแบบ 4 ที่นั่งดุจด่านเฟิร์สคลาส ให้ความสบายเต็มสิบไม่หักพร้อมมีระบบเบาะอุ่นและนวดได้หลากหลายรูปแบบ หัวหมอนดีไซน์ใหม่รองรับการหลับแบบสบายจริงๆ

ความรู้สึกรวมของการนั่งทางด้านหลัง รถนุ่มนวลดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีเยี่ยม การโครงตัวน้อย เสียงดังรบกวนน้อยด้วย เป็นความรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง เพราะด้วยลักษณะของตัวรถทรงสูงทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง ยิ่งเมื่อขยับเบาะผู้โดยสารด้านหน้าออกไป จะได้พื้นที่เหยียดขาได้สุดปลายเท้าในท่าของการนอน

ด้านอัตราการบริโภคน้ำมันสารถภาพว่าไม่ได้เก็บข้อมูลมาเลยว่ามีตัวเลขอย่างไร ไว้ได้ลองขับในเมืองไทย จะรายงานผลให้ทราบเนื่องจาก รถต้องมีการปรับเพื่อให้เหมาะสมกับข้อกำหนดตามกฎหมายของไทย รวมถึงคุณภาพของน้ำมันมีผลโดยตรงต่อการขับขี่และอัตราสิ้นเปลืองฉะนั้นขอใช้ตัวเลขในเมืองไทยดีกว่า

เหมาะกับใคร
ต้องยอมรับว่า Range Rover มีภาพลักษณ์ของการเป็นรถประจำตำแหน่งของบุคคลพิเศษ, ผู้ทรงอิทธิพลหรือมีบารมี รวมถึงรถอารักขาผู้นำประเทศจากการที่เราได้เห็นในภาพข่าวหรือหนังฮอลลีวูดอย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้นใครก็ตามที่อยากได้รถที่ขับไปไหนแล้วมีคนเกรงใจ Range Rover ตอบโจทย์ตรงจุดนี้อย่างชัดเจน ส่วนจะเลือกรุ่นใดนั้น พิจารณาตามความชอบส่วนตัว



ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดทำให้ทั่วทั้งโลกประกาศปิดประเทศจำกัดการเข้า-ออก รวมถึงประเทศไทย จนกระทั่งมีวัคซีนออกมาและประชาชนได้รับฉีดอย่างทั่วถึงโดยกลุ่มประเทศตะวันตกได้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆ เพียงพอที่จะเดินทางและกลับประเทศไทยได้อย่างสะดวกขึ้น
ดังนั้น ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง จึงตอบรับคำเชิญ ของทีมงาน แลนด์ โรเวอร์ โดยตัวแทนจำหน่าย บริษัท อินช์เคป ประเทศไทย จำกัด ในการเข้าร่วมทดลองขับ Range Rover โฉมใหม่ล่าสุด ที่เมือง ซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
โครงสร้างใหม่ หัวใจใหม่
Range Rover ได้รับการออกแบบโครงสร้างตัวถังใหม่ทั้งหมด ในชื่อ MLA-Flex ที่เป็นการผสมผสานของการเลือกใช้วัสดุหลากหลายชนิดที่นำมาประกอบเป็นตัวถัง ทั้งอลูมิเนียมและเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงแตกต่างกัน เพื่อให้ตัวรถสมดุลและแข็งแกร่ง รองรับการติดตั้งระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายโดยมีรุ่นตัวถังมาตรฐาน(SWB)และรุ่นตัวถังยาว(LWB)
เช่นเดียวกับการออกแบบภายในที่ปรับเพิ่มหน้าจอใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลายรวมถึงติดตั้งระบบซิมการ์ดชนิดฝังในตัวรถพร้อมปล่อยไวไฟให้ใช้งานได้อีกด้วย ขณะที่เบาะที่นั่งมีให้เลือกทั้ง 4 หรือ 5 ที่นั่ง การเพิ่มรุ่น 7 ที่นั่งเข้ามาในไลน์การขาย พร้อมด้วยทางเลือกที่หรูหราในเวอร์ชัน SV
สำหรับหัวใจมากับหลากหลายทางเลือกทั้ง ดีเซลและเบนซิน โดยมีทั้งแบบไมลด์ไฮบริด และ ปลั๊กอินไฮบริดที่จะตามออกมา ส่วนแบบไฟฟ้าล้วนมีกำหนดวางจำหน่ายในอีก 2 ปีข้างหน้า ส่วนตัวเด่นสุดเป็นรุ่นเครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 4.4 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 530 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่พัฒนาร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู
ขณะที่ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ขับเคลื่อน 4 ล้อเวอร์ชันใหม่สามารถกระจายแรงบิดได้อย่างแม่นยำตามความต้องการใช้งาน ระบบช่วงล่างปรับปรุงใหม่ทั้งหมด โช้คอัพเป็นแบบถุงลม ปรับความแข็งและระดับความสูงต่ำได้หลายระดับตามการใช้งาน โดยระบบเสริมความปลอดภัยมีให้อย่างครบถ้วนตามมาตรฐานสูงสุดของรถยุคนี้
ขับแน่น นุ่ม สบายขึ้น
สำหรับการทดลองขับ เป็นไปตามสไตล์ของ JLR (Jaguar Land Rover) ที่จะจัดให้เราศึกษาข้อมูลต่างๆ บนเครื่องบินและเมื่อลงจากเครื่องจะได้พบกับ Range Rover โฉมใหม่ ซึ่งจอดเรียงรายรอให้สื่อมวลชนจากทั่วโลกมาลองขับ โดยเราได้รถหมายเลข 2 หัวใจเป็นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตร และเมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรากดคันเร่งออกตัวไปทันที
รถทุกคันในทริปเป็นพวงมาลัยซ้าย อาจจะตรงข้ามกับการทำตลาดในบ้านเราแต่พื้นฐานทุกอย่างรับประกันได้ว่า เหมือนกันอย่างไม่ต้องสงสัย ความรู้สึกแรก หลังรถเคลื่อนตัวคือ ช่วงล่างหนึบแน่นขึ้นชัดเจน ทั้งนี้ก่อนหน้าที่จะบินมาราว 3 วัน ผู้เขียนได้มีโอกาสทบทวนความจำด้วยการลองขับ Range Rover โฉมก่อนหน้า จึงจับความรู้สึกที่แตกต่างได้อย่างไม่พลาด
ทั้งนี้รวมไปถึง ก่อนหน้าราวหนึ่งสัปดาห์ได้มีโอกาสของ Land Rover Defender โฉมใหม่ล่าสุด รุ่น P400e ปลั๊กอินไฮบริดด้วย จึงทำให้ทราบว่า Ranger Rover เจน 4 มีบุคคลิกการขับที่แตกต่างจาก Defender ไม่น้อย และผู้เขียนคาดหวังว่า Range Rover เจน5 จะปรับปรุงมาในแนวทางเดียวกับ Defender ซึ่งทีมวิศวกร ไม่ทำให้เราผิดหวัง
จากความรู้สึกนุ่มยวบในโฉมก่อนหน้า กลายเป็นความนุ่มหนึบ แน่น และมั่นคงไม่ว่าจะขับเร็วหรือช้า แตกต่างจากเดิมชัดเจน เช่นเดียวกับความเงียบภายในห้องโดยสารที่รู้สึกว่า เงียบกว่าเดิมเสียงของเครื่องยนต์ V8 ได้ยินเพียงเบาๆ เท่านั้น ขณะที่ระบบตัดเสียงรบกวนบนหัวหมอน ด้วยเวลาที่กระชั้นทำให้ไม่ได้ทดลองใช้งาน
ตัวรถแม้จะสูงใหญ่ แต่การบังคับควบคุมกับง่าย ด้วยพวงมาลัยขนาดที่ใหญ่แบบไฟฟ้าแปรผันตามความเร็ว รัศมีวงเลี้ยวปรับใหม่ แคบลงกว่าเดิม ทำให้การเลี้ยวและการขับในเมืองหรือพื้นที่แคบง่ายขึ้น เรียกว่า Range Rover ใหม่ปรับตามลักษณะการใช้งานและตรงใจลูกค้ามากขึ้น
ในส่วนของอัตราเร่งทำได้อย่างประทับใจ คันเร่งน้ำหนักกำลังดี กดเป็นมาตามเท้าอย่างทันใจ ไร้อาการรอรอบ แถมด้วยความนุ่มนวลของระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ไร้รอยต่อ เหมาะมากสำหรับ การเป็นรถนั่งทางด้านหลัง เพราะคุณจะแทบไม่รู้สึกถึงจังหวะของการกระชาก ถ้าไม่ขับแบบโหดร้ายจริงๆ ซึ่งชุดขับเคลื่อนทั้งหมดเป็นการหยิบยกมาจากค่ายบีเอ็มดับเบิลยูที่ร่วมมือกันพัฒนาตรงจุดนี้
ด้านระบบเบรก เชื่อมั่นและอุ่นใจได้เต็มร้อย น้ำหนักปรับมาให้พอดี ไม่มีอาการหัวทิ่ม โดยการขับในอเมริกาความเร็วสูงสุดที่ใช้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 55-65 ไมล์/ชั่วโมง หรือราว 90-110 กม./ชม. เป็นการขับที่เน้นเรื่องความปลอดภัยตามกฎหมายและเพื่อให้รับรู้ถึงสมรรถนะที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามสไตล์ของแลนด์ โรเวอร์ จะไม่พลาดในส่วนของการขับแบบออฟโรด แม้จะเป็นรถหรู ที่ไม่เน้นเรื่องของการลุยมากนัก แต่ทีมงานจะเส้นทางแบบออฟโรดระดับหนึ่งให้เราได้ลองระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ เรียกว่าผ่านทุกอุปสรรคไปได้อย่างง่ายดาย โดยเราไม่ต้องใช้สกิล แค่เพียงปรับระบบให้เหมาะกับสภาพของผิวถนนที่จะไป ตัวรถจะจัดการทำอย่างให้อย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนรถสลับให้เราไปลองขับในรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนมีสองส่วนหลักคือ การตกแต่งภายใน คันแรกเป็นแบบหนังชนิดหรูหรา ขณะที่ดีเซลเป็นผ้าให้ความรู้สึกที่สปอร์ตเรียบง่าย อารมณ์เปลี่ยนไปเหมือนเป็นรถคนละรุ่น
อีกหนึ่งสิ่งที่แตกต่างคือ เสียงของเครื่องยนต์ ในตัวดีเซลเราจะได้ยินชัดกว่ารุ่นเบนซินเล็กน้อย และเสียงไม่ไพเราะเสนาะหูเท่ารุ่นใหญ่ V8 ด้วย ซึ่งคงต้องทำใจเพราะ สนนราคาค่าตัวต่างกันพอสมควร ด้านสมรรถนะการขับขี่โดยภาพรวมแล้ว แตกต่างกันไม่มาก ทั้งการเร่งออกตัวหรือการแซง หากไม่นับเรื่องเสียงเครื่องยนต์เราอาจจะแยกไม่ออกเพราะด้วยเงื่อนไขการจำกัดด้านความเร็วสูงสุดที่ขับได้เพียง 110 กม./ชม.
รวมระยะทางที่เราขับในวันแรกทั้งสองคันมากกว่า 400 กิโลเมตร ทั้งการขับบนถนนเรียบปกติ การลุยออฟโรดแบบหลุมหักมุมรูปตัว V ลุยโคลน และถนนแบบลูกรังเช่นเดียวกับเมืองไทย Range Rover ทำได้ประทับใจมาขับแล้วไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องของเสียงลมปะทะบริเวณกรอบประตู ไม่แน่ใจว่าเพราะลมภายนอกที่แรงมากมีผลด้วยหรือไม่ ทำให้เมื่อขับด้วยความเร็วเกิน 90 กม./ชม. เราจะได้ยินเสียงลมเบาๆ ขณะที่เสียงยางบดถนนเทียบจะไม่ได้ยินเลย ขอทิ้งไว้เป็นข้อสังเกตุ หากมีโอกาสได้ขับในประเทศไทยอีกครั้งจะมาตอบให้
วันรุ่งขึ้นเรายังได้ขับต่ออีกรอบ โดยคราวนี้ทีมงานจัดรุ่นพิเศษ SV มาให้ หัวใจเป็นเครื่องยนต์แบบ V8 เฉกเช่นวันแรกที่ได้ลองขับ โดยความแตกต่างของรุ่น SV คือการตกแต่งภายนอกและภายใน ให้หรูหราพิเศษมากกว่าปกติ แต่ไม่มีการปรับปรุงสมรรถนะของการขับเคลื่อนแต่อย่างใด
การขับ SV เราคงไม่เล่าซ้ำ แต่จะโฟกัสในเรื่องของการนั่งทางด้านหลังเป็นหลักแทน เพราะทีมงานจัดเจ้าหน้าที่ขับให้เรานั่งแบบผู้บริหาร โดยเบาะนั่งทางด้านหลังเป็นแบบ 4 ที่นั่งดุจด่านเฟิร์สคลาส ให้ความสบายเต็มสิบไม่หักพร้อมมีระบบเบาะอุ่นและนวดได้หลากหลายรูปแบบ หัวหมอนดีไซน์ใหม่รองรับการหลับแบบสบายจริงๆ
ความรู้สึกรวมของการนั่งทางด้านหลัง รถนุ่มนวลดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีเยี่ยม การโครงตัวน้อย เสียงดังรบกวนน้อยด้วย เป็นความรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง เพราะด้วยลักษณะของตัวรถทรงสูงทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง ยิ่งเมื่อขยับเบาะผู้โดยสารด้านหน้าออกไป จะได้พื้นที่เหยียดขาได้สุดปลายเท้าในท่าของการนอน
ด้านอัตราการบริโภคน้ำมันสารถภาพว่าไม่ได้เก็บข้อมูลมาเลยว่ามีตัวเลขอย่างไร ไว้ได้ลองขับในเมืองไทย จะรายงานผลให้ทราบเนื่องจาก รถต้องมีการปรับเพื่อให้เหมาะสมกับข้อกำหนดตามกฎหมายของไทย รวมถึงคุณภาพของน้ำมันมีผลโดยตรงต่อการขับขี่และอัตราสิ้นเปลืองฉะนั้นขอใช้ตัวเลขในเมืองไทยดีกว่า
เหมาะกับใคร
ต้องยอมรับว่า Range Rover มีภาพลักษณ์ของการเป็นรถประจำตำแหน่งของบุคคลพิเศษ, ผู้ทรงอิทธิพลหรือมีบารมี รวมถึงรถอารักขาผู้นำประเทศจากการที่เราได้เห็นในภาพข่าวหรือหนังฮอลลีวูดอย่างสม่ำเสมอ ฉะนั้นใครก็ตามที่อยากได้รถที่ขับไปไหนแล้วมีคนเกรงใจ Range Rover ตอบโจทย์ตรงจุดนี้อย่างชัดเจน ส่วนจะเลือกรุ่นใดนั้น พิจารณาตามความชอบส่วนตัว