หนึ่งในรถที่มีภาพลักษณ์ชัดเจนที่สุดในโลก “Range Rover” กับการรับรู้ในวงกว้างไม่ว่าจะผ่านจากสื่อใดๆ ในฐานะรถของผู้มีอิทธิพล ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย ทั้งยังเป็นรถที่มีทั้งตำนานและสามารถแสดงสถานะทางสังคมได้แบบไร้ข้อกังขา ปัจจุบันเข้าสู่เจเนอเรชันที่ 5 ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่หลากหลายรายการ ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง เจาะลึก 10 จุดเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นที่สุดในโฉมใหม่ของ Range Rover มานำเสนอ
1 โครงสร้างตัวถัง
โครงสร้างตัวถังชุดใหม่ออกแบบขึ้นภายใต้รหัสพัฒนา L460 มาในชื่อ MLA FLEX Platform ทำจากเหล็กหลากหลายชนิดและอลูมิเนียม(มีสัดส่วนมากถึง80%)ตามความเหมาะสมของแต่ละชิ้นส่วน มีทั้งความแข็งแกร่งและน้ำหนักที่สมดุล เพื่อความสบายของผู้โดยสาร โดยรองรับได้ทั้งเครื่องยนต์ปกติและรุ่นที่ติดตั้งแบตเตอรี่ทุกรุ่นรวมถึงรุ่นที่เป็นไฟฟ้า100%ได้ มีให้เลือกทั้งรุ่นตัวถังมาตรฐานยาว 5,058 มม.(ยาวกว่ารุ่นก่อนหน้า 75 มม.) และรุ่นตัวถังยาว 5,258 มม.
2 การออกแบบและสี
ปรัชญาการดีไซน์ใหม่เพื่อให้รูปลักษณ์ภายนอกสะดุดตา เรียบง่ายและใหญ่แต่เพียวลมตามหลักอากาศพลศาสตร์มีค่าสัมประสิทธิ์การต้านอากาศต่ำเพียง 0.30 เท่านั้น หลังคาใช้เลเซอร์ในการประกอบไร้รอยต่อลดการบิดตัวและลดเสียงรบกวนจากภายนอก ส่วนสีเป็นเทคโนโลยีใหม่ สไตล์ด้านแต่เรียบและมีเงาเหลือบตามมุมสะท้อนของแสง แนวเส้นจากหน้าจรดท้ายจะเป็นแนวเรียบตรงไร้จุดเบรก โดยมีการซ่อนมีอจับเอาไว้เสมอพื้นผิวของตัวถัง
3 เครื่องยนต์หลากหลาย
มีความหลากหลายทั้งดีเซล, ดีเซล ไมลด์ ไฮบริด(MHV), เบนซิน , เบนซิน ไมลด์ ไฮบริด(MHV), ปลั๊กอินไฮบริด(PHEV), แบตเตอรี่ล้วน (BEV) พิกัดกำลังสูงสุดตั้งแต่ 249 แรงม้าไปจนถึง 530 แรงม้า โดยจะใช้เครื่องยนต์แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตรเป็นพื้นฐานหลักทั้งเบนซินและดีเซล ส่วนทางเลือกสูงสุดคือรุ่นเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.4 ลิตร 530 แรงม้า พัฒนาร่วมกับบีเอ็มดับเบิลยู ส่วนเวอร์ชันแบตเตอรี่ล้วนจะออกจำหน่ายในอีก 2 ปีข้างหน้า(พ.ศ.2567) ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดในทุกรุ่น
4 ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบขับสี่ล้อตลอดเวลา(iAWD) สามารถกระจายแรงบิดได้ตามความเหมาะสมของการต้องการกำลังขณะใช้งาน (ควบคุมโดยระบบชื่อ IDD) และจะตัดการทำงานเป็นขับสองอัตโนมัติเมื่อขับด้วยความเร็วคงที่ระหว่าง 35-160 กม./ชม. ลดการใช้พลังงานโดยสูญเปล่าได้30% และลดการปล่อยไอเสียได้ 4 กรัม/กม.
Range Rover ใหม่มีการติดตั้งระบบเลี้ยวสี่ล้อเป็นครั้งแรก ซึ่งล้อหลังจะหมุนเลี้ยวมากสุด 7.5 องศา โดยเป็นการหมุนแบบสวนทางกับล้อหน้าที่ความเร็วต่ำ เพื่อช่วยให้การขับขี่ในเมืองคล่องตัวขึ้น รัศมีวงเลี้ยวแคบกว่า 11 เมตร และจะหมุนในทิศทางเดียวกันเมื่อเลี้ยวด้วยความเร็วสูงกว่า 50 กม./ชม.
5 ระบบช่วงล่าง
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบปีกนกสองชั้นพร้อมแขนช่วยยึด ด้านหลังเป็นแบบ5 ลิงค์ จุดเด่นของการใช้ช่วงล่างแบบปีกนกสองชั้นคือความทนทานเมื่อต้องลุยพื้นที่แบบออฟโรด ส่วนโช้คอัพเป็นแบบถุงลมอิสระปรับระดับความสูงได้ตามความต้องการ 4 ระดับ สามารถปรับให้สูงขึ้นได้มากสุด 135 มม. และต่ำสุด 50 มม. จากระดับมาตรฐาน ทั้งนี้หากขับขี่ด้วยความเร็วเกิน 105 กม./ชม. ตัวรถจะลดต่ำลง 16 มม. โดยอัตโนมัติ
6 เบาะ7ที่นั่ง
Range Rover โฉมก่อนมากับทางเลือกจำนวนเบาะที่นั่งมีให้เลือกแบบ 4 หรือ 5 ที่นั่ง แต่สำหรับโฉมใหม่ L460 เพิ่มรุ่นเบาะ 7 ที่นั่งให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก โดยวัสดุภายในมีการออกแบบใหม่หลายรายการตัวเบาะทำจากหนังแท้พร้อมระบบเบาะนวดและเบาะอุ่น รวมถึงที่ท้าวแขนแบบอุ่นด้วยได้ โดยมีระบบกรองอากาศป้องกันฝุ่น PM2.5 และระบบ Nano X ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าสามารถกำจัดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส รวมถึงเชื้อโควิด19ได้อีกด้วย
7 หัวหมอนตัดเสียงรบกวน
ครั้งแรกในโลกกับลำโพงฝังในหัวหมอนที่มีระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอก สร้างความเงียบสงบได้อีกระดับ โดยเป็นผลงานร่วมกับการใช้ระบบเครื่องเสียงจาก Meridian ที่มีการใช้ตัวตรวจจับคลื่นเสียงและไมโครโฟน 4 จุดติดตั้งรอบรถเพื่อจับแรงสั่น, เสียงยางบดถน และเสียงเครื่องยนต์ จากนั้นจึงสร้างคลื่นเสียงที่เหมาะสมออกมาหักล้างกัน
8 ซิมในตัวรถ
หน้าจอระบบความบันเทิงใหม่ขนาด 13.1 นิ้ว รอบรับการทำงานที่ลำหน้าโดยสามารถอัพเดตซอฟแวร์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเจ้าของรถเองผ่านระบบSOTA ไม่จำเป็นจะต้องนำรถเข้ามาที่ศูนย์บริการอีกต่อไป เป็นผลจากการติดตั้งซิมการ์ดชนิดพิเศษในตัวรถที่ให้รถเชื่อมต่อระบบได้ตลอดเวลา รวมถึงสามารถปล่อยWifi Hotspot เพื่อให้โทรศัพท์หรือแทบเลตของคุณเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้
9 ระบบจอดอัตโนมัติ
เรียกว่าเป็นระบบเริ่มต้นของการเป็นรถขับอัตโนมัติ โดยระบบนี้มีชื่อว่า Remote Parking Assist สามารถสั่งการรถให้ออกจากที่จอดหรือขับเข้าไปจอดได้เอง โดยตัวเจ้าของควบคุมอยู่ภายนอกตัวรถ เหมาะกับที่จอดรถแคบๆ หรือเมื่อถูกจอดบังจนไม่สามารถเปิดประตูรถได้
10 ไฟท้ายดำ
เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ทีมผู้สร้าง Range Rover ภูมิใจมากกับระบบไฟท้ายสีดำ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกในโลกที่ระบบการทำงานนี้ถูกใช้ในรถยนต์ โดยไฟท้ายปกติจะเป็นสีดำตลอดเวลา แต่กลายเป็นสีแดงเมื่อเหยียบเบรก และกลายเป็นสีส้มเมื่อให้สัญญาณไฟเลี้ยว โดยเป็นไฟเลี้ยวแบบวิ่งตามทิศทางที่จะไปอีกด้วย
สำหรับ ประเทศไทย บริษัท อินช์เคป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จากัวร์และแลนด์โรเวอร์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัว Range Rover ใหม่ ด้วย 2 ทางเลือกเครื่องยนต์ได้แก่ ดีเซล และ ปลั๊กอินไฮบริด สนนราคาเริ่มต้นที่ 11,499,000-15,999,000 บาท