นาทีนี้เชื่อว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ติดข่าวสารด้านยานยนต์จะคุ้นชื่อ “Neta V” กันในระดับหนึ่งแล้ว แต่ข้อมูลบางส่วน อาจจะยังไม่เปิดเผยแบบครบถ้วน อย่างไรก็ตามเมื่อทีมงานได้มีโอกาสทดลองขับ รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุดคันนี้เรียบร้อยแล้ว เรามีบทสรุป 10 เรื่องที่คุณควรทราบก่อนตัดสินใจ
1. Neta คือใคร
Neta เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า100% ภายใต้กลุ่ม Hozonauto ของจีน โดยมีการตั้ง บริษัท เนต้า ออโต้ (ไทยแลนด์) จำกัด ขึ้นเพื่อนำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งได้มีการแต่งตั้ง บีอาร์จี กรุ๊ป เป็นตัวแทนจำหน่ายรายแรกในไทย ซึ่งได้เข้าร่วมจัดแสดงรถยนต์ในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 43 ด้วย
ขณะที่ความเกี่ยวพันกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จากข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการ เกิดจาก ทาง Hozonauto มีแผนการประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จึงได้เจรจาเป็นพันธมิตรกับบริษัท อรุณพลัส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. ในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์ Neta เพื่อได้รับสิทธิ์ประโยชน์ตามเงื่อนไขของโครงการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย โดยรายละเอียดอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะประกาศอย่างเป็นทางการ
2. พื้นฐานตัวรถ
Neta รถแบบ 5 ประตู 5 ที่นั่ง มิติตัวถังยาว 4,070 มม. กว้าง 1,690 มม. สูง 1,540 มม. ระยะฐานล้อ 2,420 มม. น้ำหนักรถเปล่า 1,151 กิโลกรัม ถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรถอีโคคาร์ของประเทศไทย จุดเด่นคือมีพื้นที่เก็บของด้านท้ายค่อนข้างกว้าง แต่ไม่มีใบปัดน้ำฝนหลัง
3. หัวใจ
เป็นมอเตอร์เดี่ยว ติดตั้งทางด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดเคลมที่ 101 กม./ชม. แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม Ternary ขนาดความจุ 38.54 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุด 380 กม. ตามมาตรฐาน NEDC
4. ช่วงล่าง
ระบบช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ส่วนด้านหลังไม่มีระบุเอาไว้ แต่จากที่สังเกตเป็นคานแข็งพร้อมคอยล์สปริง โดยรวมแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวลในการขับขี่มากกว่ารถแบบอีโคคาร์ การขับด้วยความเร็วเกิน 100 กม./ชม. ยังทรงตัวได้ปกติ แต่รู้สึกว่าค่อนข้างลอยกว่าเมื่อเทียบกับการขับอีโคคาร์ สาเหตุน่าจะมาจากยาง เพราะใช้ยางขนาดเพียง 185/55 R16 ถือว่าหน้ายางแคบไปสักหน่อย
5. เบรก
ทั้งด้านหน้าและด้านหลังติดตั้งดิสก์เบรก 4 ล้อ ขนาดเพียงพอหากต้องหยุดแบบกระทันหันได้ ความรู้สึกในการเบรกต้องกดหนักสักหน่อย และมีฟังก์ชัน One Pedal คือสามารถใช้คันเร่งเพียงอย่างเดียวได้โดยไม่ต้องเหยียบเบรก เพียงแค่ถอนคันเร่งรถจะหยุดสนิท ซึ่งต้องทำความคุ้นเคยพอสมควร
6. ระบบเสริมความปลอดภัย
ให้มาครบถ้วนและหลายรายการเหนือกว่าอีโคคาร์ เช่น ถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่งคู่หน้า, ระบบเบรก ABS พร้อมEBD, ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว ESC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบตรวจสอบลมยาง, ระบบควบคุมและจำกัดความเร็ว, ระบบปลดล็อกอัตโนมัติเมื่อเกิดการชน และกล้องมองหลัง ภาพที่่แสดงชัดเจนดีมาก
7. การชาร์จ
ตามข้อมูลพื้นฐาน ถ้าชาร์จด้วยไฟบ้าน จาก 0-100% จะใช้เวลาราว 8 ชั่วโมง ส่วนการชาร์จตามสถานีชาร์จไฟแบบ DC จาก 30-80% จะใช้เวลา30 นาที แต่เมื่อไฟในแบตเตอรี่มีเกิน 80% อัตราการไหลของกระแสไฟฟ้าจะช้าลงเรื่อยๆ เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความร้อนภายในระบบ ดังนั้นหากจะชาร์จด้วย DC ให้เต็มจะใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมง โดยขึ้นกับความร้อนสะสมของระบบ
8. อัตราเร่ง
Neta V เคลมอัตราเร่ง 0-50 กม./ชม. ที่ 3.9 วินาที จากการลองขับของเราพบว่า มีแรงดึงแบบหลังติดเบาะเบาๆ ไม่ถึงกับกระชาก เมื่อกดคันเร่งแบบคิกดาวน์ เรียกว่าเร่งได้ทันใจขับสนุก จังหวะในการเร่งแซงในเมืองดีเยี่ยม พวงมาลัยเบามือควบคุมง่าย ไม่ถึงกับคมมาก แต่ถ้าวิ่งช้าจะมีระยะฟรีมากแถมเบามือ หากขับเร็วพวงมาลัยจะหนักขึ้นและขยับเล็กน้อยเปลี่ยนเลนได้ทันที สุภาพสตรีสามารถใช้งานได้อย่างสบายๆ
ความเร็วสูงสุดที่ขับได้จริงตามการแสดงผลบนหน้าจอคือ 111 กม./ชม. ชนิดที่กดสุดแล้วแต่เหมือนถูกล็อกความเร็วเอาไว้ที่ตรงจุดนั้น ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้มากกว่านี้ ฉะนั้นหากเป็นการแซงในเมือง ถือว่าสบายๆ จังหวะเร่งดี แต่ถ้าวิ่งออกนอกเมือง และตั้งใจแซงด้วยความเร็วสูง Neta V จะไม่ตอบโจทย์ตรงจุดนี้ได้
9. การใช้พลังงาน
ก่อนที่ขับตัวเลขค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานระบุดอยู่ที่ 15.4 kW/ 100 กม. หรือ 1 หน่วยไฟฟ้าจะวิ่งได้ราว 6.4 กม. แต่หลังจากที่เราขับใช้งานในเมือง ที่มีทั้งการกดแบบสุดคันเร่ง ตัวเลขสุดท้ายมาอยู่ที่ 16.8 kW/100 กม. หรือ 1 หน่วยไฟฟ้า 5.9 กม. ถือว่าทำได้ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปจะทำได้ราว 17 kW/100 กม.
ทั้งนี้จากการลองขับแบบคร่าวๆ ใช้กระแสไฟฟ้าไปราว 5% วิ่งได้ระยะทางประมาณ 16 กม. รวมรถติด หมายความว่า ปริมาณแบตเตอรี่ 100% จะวิ่งได้ระยะทางไม่ต่ำกว่า 300 กม. อย่างแน่นอน โดยมีการเปิดแอร์และใช้งานเครื่องเสียงรวมถึงการจอดรถเพื่อลองเล่นฟังก์ชันต่างๆ ด้วย
10. การใช้งานอุปกรณ์ในรถ
ประเด็นนี้คือจุดเด่นที่สุด และต้องทำความเข้าใจมากที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน Neta V ทันทีที่ปลดล็อกและเปิดประตูเข้ามาในรถ ทุกอย่างจะพร้อมใช้งานเพียงเหยียบเบรกเข้าเกียร์ สามารถขับออกไปได้ทันที ไม่มีปุ่มเปิด/ปิด
แต่หากอยากดับเครื่อง(ที่ไม่มีเครื่องยนต์) ต้องเลือกเมนูที่หน้าจอกลางขนาด 14.6 นิ้ว แล้วกดปุ่ม “ปิดการทำงาน” และหากอยากให้ทุกอย่างคืนชีพ เพียงแค่กดแป้นเบรกระบบจะกลับมาพร้อมใช้อีกครั้ง ส่วนการปรับฟังก์ชันใช้งานโดยรวมคือเข้าใจง่าย จอทัชสกรีนตอบสนองทันใจ ไม่ต่างจากการเล่นไอแพด
คุณภาพของวัสดุทั้งเบาะหนัง แผงข้างประตู ปุ่มกด และหน้าจอ อยู่ในระดับที่ดีไม่ด้อยกว่าอีโคคาร์ และบางชิ้นส่วนดูดีล้ำสมัยกว่าด้วย พื้นที่ในห้องโดยสาร ไม่อึดอัด ทัศนวิสัยโปร่งโล่ง ความเนียนในการประกอบรถถือว่าอยู่ในระดับที่สอบผ่าน คงเหลือเพียงเรื่องของความทนทานในการใช้งานที่ต้องรอเวลาพิสูจน์
สุดท้ายคงวัดกันด้วยเรื่องของราคา เพราะจากข้อมูลที่หลุดออกมาจากผู้ที่ได้จองแล้วรวมถึงไกด์ไลน์จาก Neta คาดว่าราคาของ Neta V จะตั้งต่ำกว่า 700,000 บาท และเมื่อรวมกับแพคเกจการสนับสนุนจากรัฐบาลแล้ว ราคาจะไม่เกิน 600,000 บาท อย่างแน่นอน ส่วนจะเคาะจบที่ตัวเลขเท่าไหร่นั้น ขอประเมินใหม่ที่ 559,000 บาท พร้อมของแถมสำหรับการใช้งานแบบครบถ้วน