มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประกาศจุดยืนพร้อมทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทยตามทิศทางของโลก ทั้งBEV, PHEV และ ไฮบริด ประเดิมส่ง Minicab MiEV มินิแวนไฟฟ้าให้ไปรษณีย์ไทย ทดลองใช้งานเพื่อเก็บข้อมูลก่อนทำตลาดจริงจัง

ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า มิตซูบิชิจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยครบทุกรูปแบบทั้ง BEV , PHEV และไฮบริด โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของทั้งตลาดและข้อจำกัดต่างๆ ที่ยังต้องรอการศึกษา
ประเด็นสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้ามีสองส่วนหลักคือ สถานีชาร์จ และระยะทางที่วิ่งได้ ซึ่งประเทศไทยยังต้องรอการขยายสถานีชาร์จให้ทั่วถึงมากกว่านี้ ขณะที่ระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีขีดจำกัดอยู่แม้บางค่ายจะบอกว่าได้ไกลสุดถึง 400-500 กม. แต่ความจริงวิ่งได้น้อยกว่านั้น

“มิตซูบิชิมองว่า รถยนต์ไฟฟ้าในไทยควรเป็นรถเพื่อการพานิชย์ เราจึงเริ่มต้นด้วยการนำรถมินิแวน Minicab MiEV มาให้ไปรษณีย์ไทยได้ทดลองใช้ เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลการศึกษาที่ได้จะบ่งชี้ว่าถึงเวลาเหมาะสมในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือยัง” คาโตะกล่าว
ทั้งนี้หากผลลัพธ์ออกมาในเชิงบวก มิตซูบิชิจะทำตลาดรถมินิแวนไฟฟ้าในไทยเป็นลำดับแรก ปัจจุบันมิตซูบิชิได้ทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบของ PHEV ในรุ่น เอาท์แลนเดอร์ในไทยอยู่แล้ว ส่วนจะมีรุ่นอื่นตามออกมาอีกเมื่อใด ยังไม่สามารถระบุได้

ด้านเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายด้านรถยนต์ไฟฟ้าของไทยมีความชัดเจนมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย แต่ยังต้องรอผลการศึกษาก่อน
สำหรับโรงงานผลิตของมิตซูบิชิในไทยถือว่าเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ โดยในปีที่ผ่านมาผลิตรถปิกอัพได้กว่า 185,000 คัน ส่งออกไปกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีตลาดหลักคือ ตะวันออกกลาง ยุโรป ออสเตรเลีย และอาเซียน ล่าสุดมีการลงทุนเพิ่มมูลค่า 3,000 ล้านบาทในการสร้างโรงงานพ่นสีแห่งใหม่ทดแทนโรงงานเดิมที่จะมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพดีขึ้น

“โรงงานพ่นสีใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งลดการปล่อยน้ำเสียได้มากกว่า 50% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1,700 ตัน/ปี จะมีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 55 คัน/ชม. โดยขยายได้ถึง 72 คัน/ชม. แต่จะต้องใช้เงินทุนเพิ่มหากต้องการขยายกำลังการผลิตในอนาคต” โคอิโตะ กล่าว
อนึ่ง ทาคาโอะ คาโตะ เปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างยูเครนและรัฐเซีย ส่งผลโดยตรงต่อตัวแทนจำหน่ายมิตซูบิชิในยูเครนต้องหยุดการดำเนินธุรกิจไปก่อน ขณะที่ในรัสเซีย มิตซูบิชิมีโรงงานประกอบรถยนต์อยู่ แม้จะมีอุปสรรคในการขนส่งและการหยุดชะงักบ้าง แต่ยังมีชิ้นส่วนอยู่ จึงยังดำเนินการผลิตไปจนกว่าชิ้นส่วนจะหมด
ทาคาโอะ คาโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า มิตซูบิชิจะทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยครบทุกรูปแบบทั้ง BEV , PHEV และไฮบริด โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของทั้งตลาดและข้อจำกัดต่างๆ ที่ยังต้องรอการศึกษา
ประเด็นสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้ามีสองส่วนหลักคือ สถานีชาร์จ และระยะทางที่วิ่งได้ ซึ่งประเทศไทยยังต้องรอการขยายสถานีชาร์จให้ทั่วถึงมากกว่านี้ ขณะที่ระยะทางวิ่งของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีขีดจำกัดอยู่แม้บางค่ายจะบอกว่าได้ไกลสุดถึง 400-500 กม. แต่ความจริงวิ่งได้น้อยกว่านั้น
“มิตซูบิชิมองว่า รถยนต์ไฟฟ้าในไทยควรเป็นรถเพื่อการพานิชย์ เราจึงเริ่มต้นด้วยการนำรถมินิแวน Minicab MiEV มาให้ไปรษณีย์ไทยได้ทดลองใช้ เพื่อศึกษาและเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลการศึกษาที่ได้จะบ่งชี้ว่าถึงเวลาเหมาะสมในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรือยัง” คาโตะกล่าว
ทั้งนี้หากผลลัพธ์ออกมาในเชิงบวก มิตซูบิชิจะทำตลาดรถมินิแวนไฟฟ้าในไทยเป็นลำดับแรก ปัจจุบันมิตซูบิชิได้ทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบของ PHEV ในรุ่น เอาท์แลนเดอร์ในไทยอยู่แล้ว ส่วนจะมีรุ่นอื่นตามออกมาอีกเมื่อใด ยังไม่สามารถระบุได้
ด้านเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายด้านรถยนต์ไฟฟ้าของไทยมีความชัดเจนมากขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย แต่ยังต้องรอผลการศึกษาก่อน
สำหรับโรงงานผลิตของมิตซูบิชิในไทยถือว่าเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ โดยในปีที่ผ่านมาผลิตรถปิกอัพได้กว่า 185,000 คัน ส่งออกไปกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีตลาดหลักคือ ตะวันออกกลาง ยุโรป ออสเตรเลีย และอาเซียน ล่าสุดมีการลงทุนเพิ่มมูลค่า 3,000 ล้านบาทในการสร้างโรงงานพ่นสีแห่งใหม่ทดแทนโรงงานเดิมที่จะมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การผลิตมีประสิทธิภาพดีขึ้น
“โรงงานพ่นสีใหม่ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งลดการปล่อยน้ำเสียได้มากกว่า 50% และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1,700 ตัน/ปี จะมีกำลังการผลิตสูงสุดที่ 55 คัน/ชม. โดยขยายได้ถึง 72 คัน/ชม. แต่จะต้องใช้เงินทุนเพิ่มหากต้องการขยายกำลังการผลิตในอนาคต” โคอิโตะ กล่าว
อนึ่ง ทาคาโอะ คาโตะ เปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบจากการสู้รบระหว่างยูเครนและรัฐเซีย ส่งผลโดยตรงต่อตัวแทนจำหน่ายมิตซูบิชิในยูเครนต้องหยุดการดำเนินธุรกิจไปก่อน ขณะที่ในรัสเซีย มิตซูบิชิมีโรงงานประกอบรถยนต์อยู่ แม้จะมีอุปสรรคในการขนส่งและการหยุดชะงักบ้าง แต่ยังมีชิ้นส่วนอยู่ จึงยังดำเนินการผลิตไปจนกว่าชิ้นส่วนจะหมด