ชิเกโตะ คิมูระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เปิดเผยว่า “ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในปี 2564 ที่ผ่านมามีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้นโดยฮอนด้าสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ครองแชมป์ยอดขายอันดับหนึ่งเป็นปีที่ 33 ติดต่อกัน ด้วยยอดจดทะเบียน 1,236,476 คัน จากยอดรวมของประเทศอยู่ที่ 1,611,078 คัน
“เมื่อมองตัวเลขในแต่ละเซกเม้นต์เราพบว่ารถครอบครัวยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากสุด มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 52% โดยมี Honda Wave110i ครองอันดับหนึ่ง ด้วยยอดจำหน่ายสูงสุดในตลาด อยู่ที่ 530,408 คัน ขณะที่กลุ่มรถ เอ.ที. มีการเติบโตขึ้นมาจนมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีก 1% แตะระดับ 43% โดยมี Honda Scoopy ทำยอดจำหน่ายสูงที่สุดในกลุ่มนี้ด้วยยอดขาย 180,914 คัน ส่วนกลุ่มรถสปอร์ตมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 5% โดยมี Honda CRF300L เป็นรุ่นรถสปอร์ตอันดับที่ 1 ด้วยยอดขาย 6,944 คัน”
ชิเกโตะ กล่าวต่อว่า “ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะว่าเติบโตขึ้น 6% แสดงให้เห็นว่ารถจักรยานยนต์เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อวิถีชีวิตของคนไทย ทั้งในแง่ของการเดินทางและประกอบอาชีพ โดยเฉพาะรถในกลุ่ม เอ.ที. ถือเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ จากพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบรถที่ขับขี่ง่าย มีพื้นที่เก็บของและมีรูปแบบให้เลือกอย่างหลากหลายตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน รวมไปถึงการที่ภาครัฐมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากนโยบายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง”
“ปี 2565 เราคาดการณ์ว่าตลาดรถจักรยานยนต์ไทยจะเติบโตต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยบวกต่างๆ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการปรับตัวของคนไทยส่วนใหญ่ที่เริ่มกลับมาดำเนินชีวิตภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ได้แล้ว โดยมองว่าตลาดรวมจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 1,644,391 คัน เติบโตขึ้น 2% ขณะที่ฮอนด้าตั้งเป้าไว้ที่ 1,300,598 คัน หรือเติบโตสูงกว่าตลาด อยู่ที่ประมาณ 5%”
สำหรับกลยุทธ์ในการรุกตลาดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในปีนี้ ประกอบไปด้วย 1.การเปิดตัวสินค้าใหม่รวมทั้งหมด 8 รุ่นและประเดิมเปิดตัวรุ่นแรกในงานมอเตอร์โชว์ที่จะจัดขึ้นปลายเดือนมีนาคม นี้ 2.การบริหารการจัดการจากวัตถุดิบที่มีต้นทุนค่อนข้างสูงขณะนี้โดยพยายามลดต้นทุนให้ต่ำ เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคหรือหากจะมีการปรับจริงจะทำให้น้อยที่สุด 3.การบริการหลังการขาย โดยดูแลผู้ใช้ให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดพร้อมนำออนไลน์เข้ามาใช้ในส่วนการขายมากขึ้นผ่านเครือข่ายร้านค้าที่มีอยู่ 1,257 แห่ง
ส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าทางฮอนด้า ชิเกโตะกล่าวว่า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นงานท้าทาย หลังจากที่ได้เริ่มโครงการศึกษาการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในเชิง ecosystem ร่วมกับพันธมิตรทั้งสถาบันการศึกษาระดับประเทศและทดลองใช้งานร่วมกับทางดีเคเอสเอช ประเทศไทย เพื่อนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าของฮอนด้ามาลองใช้ขนส่งสินค้า 2 รุ่น คือ PCX Electric กับ Benly-e แต่อย่างไรก็ตามฮอนด้ายังไม่มีแผนผลิตเพื่อจำหน่าย คงต้องรอเวลาที่เหมาะสม บวกกับเทคโนโลยีของรถไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาโดยเฉพาะแบตเตอรี่
ปีที่ผ่านมา ฮอนด้าได้ประกาศควบรวมกิจการระหว่าง บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด, บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด, และ บริษัท เอชพีดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแชร์โฮลดิ้ง โดยก่อตั้งเป็นบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อว่า บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รวมถึงผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์ เริ่มดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2564 ซึ่งการควบรวมบริษัทฯเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานตอบสนองลูกค้า
ชิเกโตะกล่าวเพิ่มเติมว่า การควบรวมบริษัทฯโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องและรวดเร็วขึ้น ทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายขายขายเข้าไว้ด้วยกัน ดึงศักยภาพของทั้งสองฝ่ายมาตอบสนองความต้องการของตลาด โดยวันนี้สามารถปรับไลน์การผลิตให้เข้ากับสถานการณ์ได้รวดเร็วและสามารถส่งมอบบริการหลังการขายอย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
“นอกจากรถจักรยานยนต์แล้ว ไทยฮอนด้ายังเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์ (Power Products) อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ศักยภาพของเราไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การผลิตและจัดจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น แต่เรายังมีศักยภาพอย่างสูงในการผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลกด้วย โดยปัจจุบัน ไทยฮอนด้าถือเป็นหนึ่งในฐานการผลิตและส่งออกรถจักรยานยนต์ รวมถึงเครื่องยนต์อเนกประสงค์ที่สำคัญของฮอนด้าไปยังตลาดโลก”
บริษัท ไทยฮอนด้า แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด มีศักยภาพในการผลิตรถจักรยานยนต์ได้มากถึงปีละ 1.76 ล้านคัน โดยมีสัดส่วนการผลิตเพื่อตลาดในประเทศอยู่ที่ 82% ตลาดต่างประเทศ 18% และมีศักยภาพในการผลิตเครื่องยนต์อเนกประสงค์ได้มากถึงปีละ 2.7 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นการผลิตเพื่อตลาดในประเทศ 7% และตลาดต่างประเทศอีก 93%
“ความพึงพอใจของลูกค้าคือเป้าหมายสูงสุดของไทยฮอนด้ามาโดยตลอด จากนี้ไป เราจะพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงศักยภาพทั้งหมดที่เรามีเพื่อส่งมอบความสุขให้กับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”ชิเกโตะ กล่าวปิดท้าย