เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเดิมต้นปี 2565 ด้วยการประกาศ รีแบรนด์ใหม่จาก “เดมเลอร์ เอจี” เปลี่ยนเป็น “เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี” ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา โดยมีการแยกทำตลาดแบรนด์รถยนต์เป็น 4 ซับแบรนด์ได้แก่ Mercedes-Benz ,Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach และ Mercedes-AMG
ทั้งนี้แต่ละซับแบรนด์จะมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Mercedes-Benz เป็นแบรนด์หลักในรถทั่วไป Mercedes-EQ เป็นแบรนด์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า Mercedes-Maybach เป็นแบรนด์ของรถยนต์ระดับสุดหรูหราและ Mercedes-AMG เป็นแบรนด์ของรถยนต์สมรรถนะสูง
ยอดขายทั่วโลกยังแข็งแกร่ง
แม้จะยังอยู่ท่ามกลางภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ แต่ยอดขายรถยนต์ในปี 2564 ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลกมีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 2.4 ล้านคัน โดยเฉพาะแบรนด์ Mercedes-Maybach , Mercedes-AMG และMercedes-Benz รุ่น G-Class มียอดขายสูงที่สุดเป็นสถิติใหม่
สำหรับ Mercedes-Maybach มียอดขาย 15,730 คัน เพิ่มขึ้น 50.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยสำคัญมาจากยอดขายในประเทศจีนที่มีมากกว่าเดือนล ะ900 คัน Mercedes-AMG มียอดขา ย145,979คัน เพิ่มขึ้น 16.7% และยอดขายของ Mercedes-Benz รุ่น G-Class มีจำนวน 41,174 คันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ส่วนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ามียอดขาย 227,458คัน เพิ่มขึ้น 69.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้แบตเตอรี่ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ มียอดขาย 48,936 คัน อัตราการเติบโตสูงถึง 154.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน
“นับตั้งแต่รถยนต์รุ่น EQS เปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดโลกเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้รับคำสั่งจองซื้อมาถึง 16,370 คัน ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นนี้จะทำตลาดในประเทศไทยและมีการผลิตจากโรงงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในไทยเป็นรุ่นแรกอีกด้วยโดยมีลูกค้าชาวไทยแสดงความสนใจผ่านช่องทางดิจิทัลมามากกว่า 500 รายแล้ว” คำกล่าวของ โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด
ยอดขายในไทยยังเติบโต
ประเด็นยอดขายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ ยอดขายที่เป็นการขายส่งให้ดีลเลอร์และดีลเลอร์ขายให้ลูกค้า กับ ส่วนที่เป็นยอดจดทะเบียนที่รายงานโดยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งจะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ยอดขายส่ง เมอร์เซเดส-เบนซ์ระบุว่า เป็นตัวเลขที่ใช้ภายในองค์กรไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่บอกได้เพียงว่า มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเฉพาะรถแบบปลั๊กอินไฮบริดมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น 14% โดยช่วงไตรมาสที่ 4 ยอดขายเติบโตสูงถึง 28.1% เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่ขายดีที่สุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์
บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว“ปี 2564 เป็นปีที่ยอดเยี่ยมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ยอดขายกลุ่มคอมแพคเพิ่มขึ้น 58% กลุ่ม SUV เพิ่มขึ้น 29% และกลุ่ม ลักชัวรี่เพิ่มขึ้น 27% แสดงให้เห็นว่าลูกค้ายังคงมีความต้องการซื้อรถในระดับสูง โดยเราไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขยอดขายให้ทราบได้”
ส่วนยอดจดทะเบียนตามการรายงานของกรมการขนส่งทางบก ในปี 2564 เมอร์เซเดส-เบนซ์ มียอดทั้งสิ้น 9,820 คัน โดยเป็นยอดจดทะเบียนที่รวมการขายของผู้นำเข้าอิสระเอาไว้ด้วย ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มียอดจดทะเบียนรวม 11,865 คัน มีอัตราการเติบโตลดลง 17.2%
ปัจจัยสำคัญของการมียอดจดทะเบียนที่ลดลงเนื่องจาก ลูกค้าใช้ระยะเวลาในการรอจดทะเบียนค่อนข้างนานกว่า 3 เดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยอดขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายมีมากเป็นพิเศษแต่ยังไม่สามารถรายงานเป็นยอดจดทะเบียนได้ ฉะนั้นจึงอาจจะเกิดความสับสนในการรายงานตัวเลขเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้
เป้าหมายปี 2565
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะดำเนินนโยบายตามบริษัทแม่ มุ่งเน้นการปรับไลน์การขายให้กลายมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นทั้งแบบปลั๊กอินไฮบริดและ BEV ส่วนรถที่ใช้เครื่องยนต์จะยังคงทำตลาดควบคู่ไปก่อน การยุติจำหน่ายจะพิจารณาจากความพร้อมและขีดความสามารถของแต่ละประเทศในการรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
ด้านการขยายจุดชาร์จไฟฟ้า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยืนยันว่ายังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีการยุติให้บริการไปบ้างหลังหมดสัญญาหรืออยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ แต่ยังคงเดินหน้าหาพันธมิตรผู้ให้บริการชาร์จไฟฟ้า โดยล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจากับ EGAT และ ปตท.
“เราย้ำมาตลอดว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ มิใช่ผู้ผลิตไฟฟ้า เราสร้างรถยนต์มาจำหน่าย ส่วนหน้าที่ในการชาร์จไฟมิใช่แกนในการทำธุรกิจของเรา ขอให้การบริการชาร์จไฟฟ้าเป็นของผู้ผลิตไฟฟ้าจะเหมาะสมกว่า ขณะเดียวกันเราได้ทำโครงการ Charge to change เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถปลั๊กอินไฮบริด ชาร์จไฟฟ้าในการใช้งาน เพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง”
สำหรับยอดขายในปี 2565 เมอร์เซเดส-เบนซ์ตั้งเป้าที่อัตราการเติบโตสองหลัก โดยไม่ระบุจำนวนเป็นตัวเลข ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้คือ การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ โดยในปีนี้จะมีการเปิดตัว ซี-คลาส โฉมใหม่ (รหัสW206)
ขณะที่รถยนต์ในไลน์การขายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ มีการปรับราคาจำหน่ายเพิ่มขึ้นตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาทตามแต่ละรุ่น เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นจากต้นทุนการผลิตที่ถีบตัวสูงขึ้นจนทำให้ต้องมีการปรับราคาเพื่อความเหมาะสม
“แน่นอนว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ ต้องการเป็นที่หนึ่งในด้านยอดขาย เพราะเราคือผู้นำในตลาดรถยนต์หรู พร้อมกับสร้างความพึงพอใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมมากที่สุด รวมถึงการให้บริการหลังการขายที่เข้มข้นขึ้น” โรลันด์ กล่าว
ปรับปรุงอะไหล่รอนาน
สำหรับปัญหาด้านบริการหลังการขาย ประเด็นสำคัญคือ ลูกค้ารออะไหล่นาน ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ ยอมรับว่า มีอะไหล่หลายชิ้นส่วนใช้เวลาในการรอนาน ทั้งนี้เกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ปรับปรุงแก้ไขเรื่องการสั่งอะไหล่ใหม่ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น
พุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหาร ฝ่ายบริการหลังการขาย บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด“อะไหล่ที่เป็นชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์และกระจกบานหน้า ยังเป็นปัญหาใหญ่เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลนทั่วโลก โดยเรามีการปรับการขนส่งอะไหล่จากทางเครื่องบินและเรือมาเป็นทางบกแทนทำให้ร่นระยะเวลาการส่งมอบอะไหล่ให้เร็วขึ้นได้”
ด้านยอดการจำหน่ายอะไหล่และค่าใช้จ่ายการเข้ารับบริการมีอัตราการเติบโต 4% สวนทางกับยอดการเข้ารับบริการของลูกค้าลดลง 12% ขณะที่อะไหล่ Reman หลังจากมีการสื่อสารที่ชัดเจนออกไปทำให้ลูกค้าเข้าใจมากขึ้นมียอดขายเติบโตขึ้น 14%
ทั้งนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังไม่มีแผนในการปรับเปลี่ยนรถเก่าที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในให้สามารถใช้งานเป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้แต่อย่างใด