การกลับมาถือกำเนิดอีกครั้งเมื่อปี 2550 ของ “นิสสัน จีที-อาร์” รถยนต์สปอร์ตระดับตำนานของนิสสัน สร้างกระแสให้ตลาดรถสปอร์ตของญี่ปุ่นกลับมาคึกคักทั่วโลก ส่วนเมืองไทย นิสสัน มอเตอร์ เพิ่งจะมีการเปิดตัวจำหน่าย นิสสัน จีที-อาร์ อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา
เมื่อนับเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จีที-อาร์ทำตลาดมาแล้ว 14 ปี หลายคนมองว่านี่คือปลายอายุโมเดลของตำนานเจ้าของฉายา “ก็อตซิล่า” แต่เชื่อหรือไม่ กระแสความนิยมยังไม่ตกลง แถมสวนทางด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย หลังการเข้ามาดูแลของ “นิสสัน กรุงไทย” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นดีลเลอร์เพียงรายเดียวที่ขาย จีที-อาร์ อย่างเป็นทางการ ด้วยยอดจองรุ่น T-Spec มากถึง 35 คัน แต่นิสสัน มอเตอร์ สามารถส่งรถให้ได้เพียง 11 คัน สำหรับโควต้าประเทศไทย
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง มีโอกาสได้ทดลองขับ เราจึงไม่พลาด จีที-อาร์ เวอร์ชันประเทศไทย ส่วนรายละเอียดเรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามได้
555 แรงม้า กับคุณภาพน้ำมัน
ในเรื่องของการออกแบบเชื่อว่าทุกน่าจะพอทราบข้อมูลกันมาพอสมควรแล้ว ฉะนั้นจึงขอตัดเข้าส่วนของเวอร์ชันจำหน่ายในประเทศไทยเป็นหลัก รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่ควรจะต้องทราบก่อนตัดสินใจเลือกคบหา โดยเวอร์ชันไทยครั้งแรกที่เปิดตัวเป็นรุ่น Faceliftปี 2017 ซึ่งได้รับการปรับปรุงพละกำลังและระบบส่งกำลังใหม่
จุดใหญ่ใจความของ จีที-อาร์ รุ่นขายโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ มากับเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ รหัส VR38DETT ที่มีระบบวาล์วแปรผัน CVVTCS พร้อมระบบสั่งการจ่ายน้ำมัน ECCS แบบ 32Bit ให้กำลังสูงสุด 555 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร
ประเด็นสำคัญของจีที-อาร์เวอร์ชันไทย อยู่ที่พละกำลังสูงสุดมีเพียง 555 แรงม้า แตกต่างจาก จีที-อาร์ เวอร์ชันตลาดโลกที่มีกำลังสูงสุด 573 แรงม้า ส่วนแรงบิดเท่ากัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคำตอบคือ “ผลจากการปรับจูนเพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมันและมาตรฐานไอเสียรวมถึงอากาศของไทย” หรือเรียกง่ายๆว่า Homologation
ซึ่งเป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนว่า รถที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะไร้ปัญหาเกี่ยวกับการขับเคลื่อนอันเนื่องมาจากระบบจุดระเบิดผิดพลาด แตกต่างจากรถที่จำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอิสระ ที่มักประสบปัญหาดังกล่าว เพราะมิได้มีการปรับจูนและปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอันเกี่ยวเนื่องด้วยระบบส่งน้ำมันที่เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมันของไทย
สำหรับระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ ดูอัลคลัทช์ 6 สปีด มีจุดเด่นคือการปรับเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วโดยใช้ระยะเวลาเพียง 0.15 วินาที ตามการเคลมของนิสสัน สำหรับเวอร์ชันปรับปรุงล่าสุดที่จำหน่ายในปี 2021 แน่นอนว่า ณ ปีแรกที่ออกจำหน่ายระบบนี้คือสุดยอดของเทคโนโลยี แต่เมื่อมาถึงยุคปัจจุบันแม้มันจะยังคงความยอดเยี่ยมอยู่ แต่เราค่อนข้างคุ้นชินแล้ว
ด้านระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อตลอดเวลา (All Wheel Drive) ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกสองชั้น พร้อมตัวยึดอลูมินัมน้ำหนักเบา ด้านหลังแบบอิสระ มัลติลิงค์ พร้อมตัวยึดอลูมินัมน้ำหนักเบา ส่วนระบบเบรกหน้า Nissan Brembo 6 พอร์ต หลัง 4 พอร์ต ล้อและยางขนาด 20นิ้ว
ทั้งนี้หลังการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายให้มาอยู่ภายใต้การดูแลของ นิสสัน กรุงไทย ทางนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย มีการปรับเปลี่ยนราคาจำหน่ายของจีที-อาร์ มาอยู่รุ่น Premium Luxury 10,700,000 บาท และรุ่น T-Spec 12,200,000 บาท (ขายจำนวนจำกัด)
แรง หนึบ แบบซูเปอร์คาร์
จีที-อาร์เป็นหนึ่งในรถที่หลังจากขับแล้ว ขอสารภาพตามตรงว่า มีเรื่องราวให้เขียนมากมาย แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี จึงขออนุญาตกล่าวถึงความรู้สึกแรกหลังติดเครื่องยนต์ก่อนน่าจะเหมาะ ทันทีที่กดปุ่มติดเครื่องยนต์ เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังกังวาลไม่ต่างจากซูเปอร์คาร์ แถมด้วยเสียงของการขยับตัวของคลัทช์ ซึ่งทุกครั้งที่ติดเครื่องเราจะได้ยินแบบชัดเจน
สำหรับคันที่เราขับเป็น จีที-อาร์ รุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี โดยนิสสัน กรุงไทย จัดเตรียมไว้ให้ทดลอง ออปชันต่าง ๆ ของตัวรถส่วนใหญ่จะเหมือนกับรุ่น Premium Luxury ที่เป็นเวอร์ชันจำหน่ายปกติ ต่างกันเพียงเรื่องของเพลต,สีตัวถัง,สติกเกอร์ และรายละเอียดด้านการตกแต่งเล็กน้อย
เมื่อติดเครื่องยนต์เรียบร้อยเราทำความคุ้นเคยสักพัก และทันทีที่ทุกอย่างพร้อมจึงออกตัวเพื่อมาเจอกับการจราจรอันหนาแน่นของถนนรามอินทรา ก่อนจะได้ทดลองคันเร่งคิกดาวน์ครั้งแรกเมื่อเข้าสู่ถนนวิภาวดี ตัดมาที่ภาพรวมการใช้งานในเมือง จีที-อาร์ ถือว่าเป็นรถขับง่าย ทัศนวิสัยดี ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยหรือมุมมองที่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เรียกว่าเป็น ซูเปอร์คาร์ ที่ใช้งานได้ทุกวัน ว่าแต่คำว่าซูเปอร์คาร์นั้นมาได้อย่างอย่างไร คำตอบคือ
ทันทีที่คุณได้กดคันเร่งแบบคิกดาวน์ ไม่ว่าจะเป็นย่านความเร็วใด เหมือนคุณกำลังปลดปล่อยอสูรกายออกมาจากร่างแฝง แรงดึงชนิดหลังติดเบาะจะกระชากทันที ไม่แตกต่างจากบรรดาซูเปอร์คาร์สัญชาติยุโรปที่เราเคยขับมา ความสนุกในจังหวะเร่งแซง ทำได้อย่างประทับใจมาก เสียงคำรามและความเร้าใจทำให้อดีนาลีนของเราพุ่งพล่านถึงขีดสุดได้ ทั้งนี้ยังสามารถควบคุมรถได้ดังใจไม่เสียการทรงตัวอีกด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดคือ การขับแบบปกติทั่วไป จีที-อาร์ ให้ความรู้สึกสบาย โดยเฉพาะช่วงล่างที่ดูดซับแรงสะเทือนได้ดี ช่วงล่างเด้งน้อยสุดเมื่อเทียบกับรถในระดับซูเปอร์คาร์แบรนด์อื่น ๆ ยิ่งเมื่อเจอฝาท่อระบายน้ำจะรู้ถึงความแตกต่างที่จีที-อาร์ สามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ดีทีเดียว
ส่วนการเข้าโค้งแม่นยำ พวงมาลัยน้ำหนักค่อนข้างหนืดพอดีมือ แต่หากเข้าโค้งเร็วเพื่อหวังให้รถเสียการทรงตัวจะทำได้ยากสักหน่อย ด้วยความเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา แต่หากอยากให้ท้ายปัดเพียงแค่ปิดระบบ ESC บนปุ่มที่คอนโซลกลาง ความบันเทิงจะมาอย่างง่ายดาย
การทรงตัวที่ความเร็วสูง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จีที-อาร์ ทำได้อย่างน่าทึ่งมาก ตัวรถค่อนข้างนิ่งไม่น้อยหน้าซูเปอร์คาร์ระดับราคายี่สิบกว่าล้านบาท ส่วนเรื่องการเก็บเสียงต้องทำใจ เพราะคุณจะได้ยินครบทั้งเสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสีย
การใช้งานลูกเล่นต่างๆ ในห้องโดยสารขอใช้คำว่าครบถ้วนอย่างที่ควรจะมี แต่ไม่ถึงกับหรูหราหรือล้ำสมัยเฉกเช่นรถในยุคนี้ ถ้าจะใช้คำที่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับต้องใช้คำว่า คลาสสิก เบาะนั่งใหญ่สบาย ปุ่มปรับไฟฟ้าถือว่าออกแบบดีงามใช้งานง่าย แต่จะมีส่วนที่ขัดใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ กุญแจ คือรถระดับราคาสิบล้านบาทแต่กุญแจนั้นรู้สึกไม่แตกต่างจากกุญแจของรถอีโคคาร์
อัตราการบริโภคน้ำมันเป็นอีกสิ่งที่หนึ่งที่ขอกล่าวว่าน่าตกใจเพราะแม้จะเป็นเครื่องยนต์ V6 แต่ตัวเลขตามการแสดงผลบนหน้าจอระบุอัตราการสิ้นเปลืองระดับ 5-6 กม./ลิตร สำหรับการใช้งานของเราที่วิ่งทั้งในเมืองและนอกเมือง รวมส่วนของการใช้ความเร็วสูงด้วย ฉะนั้น ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกกับความแรงและความสนุกจากการขับนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดของ จีที-อาร์ เวลานี้คือ กระแสความนิยมของรถแบบ JDM (Japan Domestic Market) หรือรถสปอร์ตที่ผลิตในญี่ปุ่นกำลังเป็นขาขึ้นทำให้รถ JDM ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ล้วนเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้รถมือสองราคาขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะรถรุ่นพิเศษที่เลิกผลิตไปแล้ว ราคาพุ่งเกินตอนออกใหม่ป้ายแดงเสียอีก
แน่นอนว่า นิสสัน จีที-อาร์ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนอย่างที่เรากล่าวข้างต้นว่า ยอดจองถล่มทลายแต่ไม่มีรถเพียงพอจะขาย ปัจจัยอีกส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ ที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก ซึ่งคงต้องใช้วเลาอีกสักระยะกว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลง ส่วนใครที่สนใจจะจอง จีที-อาร์ บอกไว้ตรงนี้ว่าต้องรออย่างน้อย 9 เดือน รถล็อตใหม่จะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยได้อย่างเร็วที่สุดคือเดือนกันยายนปีนี้
เหมาะกับใคร
คนที่กำลังมองหาซูเปอร์คาร์เอาไว้เติมเต็มโรงรถให้ครบด้วยคำว่า “ของมันต้องมี” เพราะจีที-อาร์คือ หนึ่งในรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นซูเปอร์คาร์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หากคุณพลาดการเป็นเจ้าของจีที-อาร์เวอร์ชันไทยในห้วงเวลานี้ คงไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า โอกาสนั้นจะกลับมาอีกเมื่อใด
เมื่อนับเวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน จีที-อาร์ทำตลาดมาแล้ว 14 ปี หลายคนมองว่านี่คือปลายอายุโมเดลของตำนานเจ้าของฉายา “ก็อตซิล่า” แต่เชื่อหรือไม่ กระแสความนิยมยังไม่ตกลง แถมสวนทางด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย หลังการเข้ามาดูแลของ “นิสสัน กรุงไทย” ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นดีลเลอร์เพียงรายเดียวที่ขาย จีที-อาร์ อย่างเป็นทางการ ด้วยยอดจองรุ่น T-Spec มากถึง 35 คัน แต่นิสสัน มอเตอร์ สามารถส่งรถให้ได้เพียง 11 คัน สำหรับโควต้าประเทศไทย
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง มีโอกาสได้ทดลองขับ เราจึงไม่พลาด จีที-อาร์ เวอร์ชันประเทศไทย ส่วนรายละเอียดเรื่องราวจะเป็นอย่างไรบ้าง ติดตามได้
555 แรงม้า กับคุณภาพน้ำมัน
ในเรื่องของการออกแบบเชื่อว่าทุกน่าจะพอทราบข้อมูลกันมาพอสมควรแล้ว ฉะนั้นจึงขอตัดเข้าส่วนของเวอร์ชันจำหน่ายในประเทศไทยเป็นหลัก รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่ควรจะต้องทราบก่อนตัดสินใจเลือกคบหา โดยเวอร์ชันไทยครั้งแรกที่เปิดตัวเป็นรุ่น Faceliftปี 2017 ซึ่งได้รับการปรับปรุงพละกำลังและระบบส่งกำลังใหม่
จุดใหญ่ใจความของ จีที-อาร์ รุ่นขายโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ มากับเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร V6 เทอร์โบคู่ รหัส VR38DETT ที่มีระบบวาล์วแปรผัน CVVTCS พร้อมระบบสั่งการจ่ายน้ำมัน ECCS แบบ 32Bit ให้กำลังสูงสุด 555 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 632 นิวตันเมตร
ประเด็นสำคัญของจีที-อาร์เวอร์ชันไทย อยู่ที่พละกำลังสูงสุดมีเพียง 555 แรงม้า แตกต่างจาก จีที-อาร์ เวอร์ชันตลาดโลกที่มีกำลังสูงสุด 573 แรงม้า ส่วนแรงบิดเท่ากัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นคำตอบคือ “ผลจากการปรับจูนเพื่อให้เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมันและมาตรฐานไอเสียรวมถึงอากาศของไทย” หรือเรียกง่ายๆว่า Homologation
ซึ่งเป็นข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนว่า รถที่จำหน่ายโดยตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะไร้ปัญหาเกี่ยวกับการขับเคลื่อนอันเนื่องมาจากระบบจุดระเบิดผิดพลาด แตกต่างจากรถที่จำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายอิสระ ที่มักประสบปัญหาดังกล่าว เพราะมิได้มีการปรับจูนและปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนอันเกี่ยวเนื่องด้วยระบบส่งน้ำมันที่เหมาะสมกับคุณภาพน้ำมันของไทย
สำหรับระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ ดูอัลคลัทช์ 6 สปีด มีจุดเด่นคือการปรับเปลี่ยนเกียร์รวดเร็วโดยใช้ระยะเวลาเพียง 0.15 วินาที ตามการเคลมของนิสสัน สำหรับเวอร์ชันปรับปรุงล่าสุดที่จำหน่ายในปี 2021 แน่นอนว่า ณ ปีแรกที่ออกจำหน่ายระบบนี้คือสุดยอดของเทคโนโลยี แต่เมื่อมาถึงยุคปัจจุบันแม้มันจะยังคงความยอดเยี่ยมอยู่ แต่เราค่อนข้างคุ้นชินแล้ว
ด้านระบบขับเคลื่อนเป็นแบบ 4 ล้อตลอดเวลา (All Wheel Drive) ระบบช่วงล่าง ด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกสองชั้น พร้อมตัวยึดอลูมินัมน้ำหนักเบา ด้านหลังแบบอิสระ มัลติลิงค์ พร้อมตัวยึดอลูมินัมน้ำหนักเบา ส่วนระบบเบรกหน้า Nissan Brembo 6 พอร์ต หลัง 4 พอร์ต ล้อและยางขนาด 20นิ้ว
ทั้งนี้หลังการเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายให้มาอยู่ภายใต้การดูแลของ นิสสัน กรุงไทย ทางนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย มีการปรับเปลี่ยนราคาจำหน่ายของจีที-อาร์ มาอยู่รุ่น Premium Luxury 10,700,000 บาท และรุ่น T-Spec 12,200,000 บาท (ขายจำนวนจำกัด)
แรง หนึบ แบบซูเปอร์คาร์
จีที-อาร์เป็นหนึ่งในรถที่หลังจากขับแล้ว ขอสารภาพตามตรงว่า มีเรื่องราวให้เขียนมากมาย แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี จึงขออนุญาตกล่าวถึงความรู้สึกแรกหลังติดเครื่องยนต์ก่อนน่าจะเหมาะ ทันทีที่กดปุ่มติดเครื่องยนต์ เสียงคำรามของเครื่องยนต์ดังกังวาลไม่ต่างจากซูเปอร์คาร์ แถมด้วยเสียงของการขยับตัวของคลัทช์ ซึ่งทุกครั้งที่ติดเครื่องเราจะได้ยินแบบชัดเจน
สำหรับคันที่เราขับเป็น จีที-อาร์ รุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี โดยนิสสัน กรุงไทย จัดเตรียมไว้ให้ทดลอง ออปชันต่าง ๆ ของตัวรถส่วนใหญ่จะเหมือนกับรุ่น Premium Luxury ที่เป็นเวอร์ชันจำหน่ายปกติ ต่างกันเพียงเรื่องของเพลต,สีตัวถัง,สติกเกอร์ และรายละเอียดด้านการตกแต่งเล็กน้อย
เมื่อติดเครื่องยนต์เรียบร้อยเราทำความคุ้นเคยสักพัก และทันทีที่ทุกอย่างพร้อมจึงออกตัวเพื่อมาเจอกับการจราจรอันหนาแน่นของถนนรามอินทรา ก่อนจะได้ทดลองคันเร่งคิกดาวน์ครั้งแรกเมื่อเข้าสู่ถนนวิภาวดี ตัดมาที่ภาพรวมการใช้งานในเมือง จีที-อาร์ ถือว่าเป็นรถขับง่าย ทัศนวิสัยดี ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยหรือมุมมองที่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เรียกว่าเป็น ซูเปอร์คาร์ ที่ใช้งานได้ทุกวัน ว่าแต่คำว่าซูเปอร์คาร์นั้นมาได้อย่างอย่างไร คำตอบคือ
ทันทีที่คุณได้กดคันเร่งแบบคิกดาวน์ ไม่ว่าจะเป็นย่านความเร็วใด เหมือนคุณกำลังปลดปล่อยอสูรกายออกมาจากร่างแฝง แรงดึงชนิดหลังติดเบาะจะกระชากทันที ไม่แตกต่างจากบรรดาซูเปอร์คาร์สัญชาติยุโรปที่เราเคยขับมา ความสนุกในจังหวะเร่งแซง ทำได้อย่างประทับใจมาก เสียงคำรามและความเร้าใจทำให้อดีนาลีนของเราพุ่งพล่านถึงขีดสุดได้ ทั้งนี้ยังสามารถควบคุมรถได้ดังใจไม่เสียการทรงตัวอีกด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดคือ การขับแบบปกติทั่วไป จีที-อาร์ ให้ความรู้สึกสบาย โดยเฉพาะช่วงล่างที่ดูดซับแรงสะเทือนได้ดี ช่วงล่างเด้งน้อยสุดเมื่อเทียบกับรถในระดับซูเปอร์คาร์แบรนด์อื่น ๆ ยิ่งเมื่อเจอฝาท่อระบายน้ำจะรู้ถึงความแตกต่างที่จีที-อาร์ สามารถดูดซับแรงสะเทือนได้ดีทีเดียว
ส่วนการเข้าโค้งแม่นยำ พวงมาลัยน้ำหนักค่อนข้างหนืดพอดีมือ แต่หากเข้าโค้งเร็วเพื่อหวังให้รถเสียการทรงตัวจะทำได้ยากสักหน่อย ด้วยความเป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อตลอดเวลา แต่หากอยากให้ท้ายปัดเพียงแค่ปิดระบบ ESC บนปุ่มที่คอนโซลกลาง ความบันเทิงจะมาอย่างง่ายดาย
การทรงตัวที่ความเร็วสูง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จีที-อาร์ ทำได้อย่างน่าทึ่งมาก ตัวรถค่อนข้างนิ่งไม่น้อยหน้าซูเปอร์คาร์ระดับราคายี่สิบกว่าล้านบาท ส่วนเรื่องการเก็บเสียงต้องทำใจ เพราะคุณจะได้ยินครบทั้งเสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสีย
การใช้งานลูกเล่นต่างๆ ในห้องโดยสารขอใช้คำว่าครบถ้วนอย่างที่ควรจะมี แต่ไม่ถึงกับหรูหราหรือล้ำสมัยเฉกเช่นรถในยุคนี้ ถ้าจะใช้คำที่เหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับต้องใช้คำว่า คลาสสิก เบาะนั่งใหญ่สบาย ปุ่มปรับไฟฟ้าถือว่าออกแบบดีงามใช้งานง่าย แต่จะมีส่วนที่ขัดใจอยู่เรื่องหนึ่งคือ กุญแจ คือรถระดับราคาสิบล้านบาทแต่กุญแจนั้นรู้สึกไม่แตกต่างจากกุญแจของรถอีโคคาร์
อัตราการบริโภคน้ำมันเป็นอีกสิ่งที่หนึ่งที่ขอกล่าวว่าน่าตกใจเพราะแม้จะเป็นเครื่องยนต์ V6 แต่ตัวเลขตามการแสดงผลบนหน้าจอระบุอัตราการสิ้นเปลืองระดับ 5-6 กม./ลิตร สำหรับการใช้งานของเราที่วิ่งทั้งในเมืองและนอกเมือง รวมส่วนของการใช้ความเร็วสูงด้วย ฉะนั้น ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกกับความแรงและความสนุกจากการขับนั่นเอง
สิ่งสำคัญที่สุดของ จีที-อาร์ เวลานี้คือ กระแสความนิยมของรถแบบ JDM (Japan Domestic Market) หรือรถสปอร์ตที่ผลิตในญี่ปุ่นกำลังเป็นขาขึ้นทำให้รถ JDM ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ ล้วนเป็นที่ต้องการของตลาดทำให้รถมือสองราคาขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะรถรุ่นพิเศษที่เลิกผลิตไปแล้ว ราคาพุ่งเกินตอนออกใหม่ป้ายแดงเสียอีก
แน่นอนว่า นิสสัน จีที-อาร์ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนอย่างที่เรากล่าวข้างต้นว่า ยอดจองถล่มทลายแต่ไม่มีรถเพียงพอจะขาย ปัจจัยอีกส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ ที่กำลังเป็นปัญหาทั่วโลก ซึ่งคงต้องใช้วเลาอีกสักระยะกว่าปัญหาดังกล่าวจะคลี่คลายลง ส่วนใครที่สนใจจะจอง จีที-อาร์ บอกไว้ตรงนี้ว่าต้องรออย่างน้อย 9 เดือน รถล็อตใหม่จะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าชาวไทยได้อย่างเร็วที่สุดคือเดือนกันยายนปีนี้
เหมาะกับใคร
คนที่กำลังมองหาซูเปอร์คาร์เอาไว้เติมเต็มโรงรถให้ครบด้วยคำว่า “ของมันต้องมี” เพราะจีที-อาร์คือ หนึ่งในรถสปอร์ตญี่ปุ่นที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นซูเปอร์คาร์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หากคุณพลาดการเป็นเจ้าของจีที-อาร์เวอร์ชันไทยในห้วงเวลานี้ คงไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า โอกาสนั้นจะกลับมาอีกเมื่อใด