xs
xsm
sm
md
lg

ฟอร์ด ทุ่ม 28,000 ล้านบาท "เรนเจอร์ และ เอเวอเรสต์" เจนเนอเรชันใหม่ คนไทยได้ใช้อะไร 2.0 เทอร์โบหรือ 3.0 ลิตร V6

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ประกาศการลงทุนมูลค่า 28,000 ล้านบาท เพื่อยกเครื่องขยายกำลังการผลิตในไทยเป็น 270,000 คันต่อปี รองรับการผลิต ฟอร์ด เรนเจอร์ และ เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการกลางปี 2565 กับทางเลือกเครื่องยนต์ 4 แบบ ทั้งเบนซินและดีเซล 3 ขนาด


หลังจากที่ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ประกาศข่าวใหญ่เกี่ยวกับการลงทุนครั้งใหม่มูลค่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราว 28,000 ล้านบาทในประเทศไทย โดยเป็นการปรับปรุงไลน์การผลิตใหม่ของโรงงานทั้งสองแห่งของฟอร์ด มอเตอร์ ที่จังหวัดระยอง ประเด็นสำคัญคือ เงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างไรบ้าง ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมข้อมูลจากทีมผู้บริหาร ฟอร์ด ประเทศไทย พร้อมวิเคราะห์ความเป็นไปได้สำหรับหัวใจของเรนเจอร์ใหม่


กำลังผลิตเพิ่มเป็น 270,000 คัน

งบลงทุนประมาณครึ่งหนึ่งราว 15,000 ล้านบาท ถูกใช้ไปในการปรับปรุงไลน์การผลิตใหม่ของโรงงานทั้งสองแห่งที่่จังหวัดระยอง ได้แก่ โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอร์ริ่ง (เอฟทีเอ็ม) ซึ่งฟอร์ดเป็นเจ้าของ และโรงงานร่วมทุน ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ฟอร์ดและมาสด้าเป็นเจ้าของร่วมกัน

ทั้งนี้จากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ส่งผลให้กำลังการผลิตของโรงงาน เอฟทีเอ็ม จะเพิ่มจาก 100,000 คันต่อปี กลายเป็น 135,000 คันต่อปี และ โรงงาน เอเอที จาก 130,000 คัน กลายเป็น 135,000 คัน ทำให้กำลังการผลิตรวมทั้งหมดของฟอร์ด เพิ่มขึ้นมาเป็น 270,000 คันต่อปี และ 60% ของการผลิตทั้งหมดจะเป็นการส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลกกว่า 100 ประเทศ

เมื่อกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น อีกหนึ่งผลลัพธ์โดยตรงคือ จะมีการเพิ่มกะการทำงาน ทำให้โรงงานเอฟทีเอ็ม จะมีการจ้างงานเพิ่มเติม 1,250 ตำแหน่ง ทำให้ฟอร์ดมีจำนวนพนักงานในประเทศไทยรวมกว่า 9,000 คน จากเดิมที่มีราว 7,800 คน


 หัวใจสำคัญของการปรับปรุงมีการเพิ่มหุ่นยนต์อุตสาหกรรมจำนวน 356 ตัว ในโรงงานทั้งสองแห่ง ทำให้สัดส่วนของการทำงานด้วยหุ่นยนต์ของส่วนงานประกอบตัวถังกลายเป็น 80% ที่โรงงานเอฟทีเอ็ม และ กลายเป็น 69% สำหรับโรงงานเอเอที รวมถึงปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอื่นๆ อีกหลายรายการ ส่งผลให้โรงงานของฟอร์ดกลายเป็นโรงงานที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่า“โรงงานของฟอร์ดในไทยเราขอเรียกว่าเป็น State of art หรือที่สุดของเครื่องมือในการประกอบรถยนต์ยุคใหม่ เนื่องจากประเทศไทยคือฐานการผลิตรถยนต์รุ่น เรนเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดของฟอร์ด มอเตอร์ เปรียบเสมือนเป็นโรงงานแม่ของเรนเจอร์ก็ว่าได้”


ขณะที่เงินลงทุนอีกครึ่งหนึ่งราว 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 13,000 ล้านบาท ฟอร์ดสนับสนุนให้พันธมิตรทางธุรกิจ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ยกระดับคุณภาพชิ้นส่วนด้วยแม่พิมพ์และอุปกรณ์การผลิตมาตรฐานใหม่ อีกทั้งยังเกิดการจ้างงานของพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มขึ้นอีกกว่า 250 ตำแหน่งด้วย

สำหรับรถที่จะผลิตจากโรงงานทั้งสองแห่ง คือ รถยนต์ฟอร์ด เรนเจอร์ และ เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ที่มีการเผยโฉมอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่มีการเปิดตัวหรือระบุราคาจำหน่ายแต่อย่างใด


เรนเจอร์ และ เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่

แผนการเปิดตัวของ เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ ได้รับการคาดหมายว่าจะอยู่ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2565 หลังจากที่ช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน มีการเปิดเผยภาพบางส่วนและข้อมูลเบื้องต้นของรถฟอร์ด เรนเจอร์ ที่ทำการวิ่งทดสอบในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย

ขณะที่ เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ คาดหมายว่า จะเปิดตัวหลังจากมีการเปิดตัวเรนเจอร์ อย่างเป็นทางการแล้วเป็นเวลาราว 1 ปี ซึ่งทั้งสองรุ่นจะผลิตจากโรงงานทั้งสองแห่งที่ได้รับการปรับปรุงไลน์การผลิตและติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ที่จะผลิตรถได้ไวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น


สำหรับข้อมูลทางเทคนิคเบื้องต้นของเรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ จากการเปิดเผยของทีมงานผู้พัฒนาของฟอร์ด ระบุว่าหัวใจจะมี 4 ทางเลือกคือ ดีเซลและเบนซิน โดยดีเซลนั้นจะมีเครื่องยนต์ 3 แบบคือ 4 สูบ เทอร์โบเดี่ยว 2.0 ลิตร และ เทอร์โบคู่ 2.0 ลิตร ส่วนอีกหนึ่งแบบเป็น V6 เทอร์โบ ขนาด 3.0 ลิตร โดยเครื่องยนต์เบนซินยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใด ๆ

“การทดสอบเป็นหัวใจสำคัญของสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ V6 เทอร์โบดีเซลขนาด 3.0 ลิตร หรือ
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ทั้งแบบเทอร์โบเดี่ยวและเทอร์โบคู่ เราได้จำลองการใช้งานสุดหฤโหดด้วยการทดสอบการใช้เครื่องยนต์ในอัตราเร่งเต็มที่ ยาวนานต่อเนื่องถึง 700 ชั่วโมง เทียบเท่ากับการวิ่งรอบโลกด้วยอัตราเร่งเต็มที่ถึง 6 รอบ โดยเรายังทดสอบความทนทานของเครื่องยนต์ในอุณหภูมิตั้งแต่ -40 องศาเซลเซียส ถึงมากกว่า 50 องศาเซลเซียสเลยด้วย” ปริติกา มหาราช ผู้จัดการโปรแกรม เรนเจอร์ T6 กล่าว


ขณะเดียวกัน เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ของทางเลือกเครื่องยนต์ในประเทศไทย ผู้บริหารของฟอร์ดยังขอไม่เปิดเผย โดยเฉพาะเมื่อถามแบบจำเพาะเจาะจงลงไปว่า มีโอกาสแค่ไหนสำหรับเครื่องยนต์V6ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร คำตอบที่ได้คือ “ต้องดูความต้องการของตลาดว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร เพราะมีเรื่องของภาษีและมาตรฐานไอเสียที่ต้องทำให้ผ่านเกณฑ์อีกด้วย”

ซึ่งการตอบลักษณะนี้ มีแนวโน้มว่า เครื่องยนต์ของฟอร์ด เรนเจอร์ ที่จะเปิดตัวในประเทศไทยในช่วงแรก จะมีเพียงทางเลือกของดีเซลขนาด 2.0 ลิตร เพราะเป็นเครื่องหลักที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว ส่วนจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นแบบไหนอย่างไรนั้น อดใจรอการเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง


ส่วนใครที่มีความหวังว่าจะรอเครื่องยนต์ดีเซล V6 เทอร์โบ 3.0 ลิตร ขอฟันธงไว้ว่า รอแรพเตอร์น่าจะมีความหวังมากกว่า ซึ่งฟอร์ดจะพัฒนาเวอร์ชัน แรพเตอร์ ออกมาอย่างแน่นอน ส่วนจะอีกนานแค่ไหน ไม่มีใครทราบแต่เชื่อขนมกินได้ว่า อย่างน้อย 2 ปี จะยังไม่มีแรพเตอร์ โฉมใหม่ ออกมาทำตลาดชัวร์

สำหรับทางเลือกของระบบส่งกำลัง มี 3 รูปแบบ ได้แก่ เกียร์ธรรมดา, เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ขึ้นกับรุ่นย่อยที่เลือก ส่วนระบบขับเคลื่อน นอกจากมาตรฐานขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ยังมีทางเลือกขับเคลื่อน 4 ล้อ 2 รูปแบบที่มีโหมดการขับขี่หลากหลายรองรับการใช้งานที่ครบทุกสไตล์


ด้านโครงสร้างตัวถัง ยังคงพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า T6 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของรถปิกอัพขนาดกลางของฟอร์ดที่สามารถปรับเปลี่ยนให้ใช้งานกับรถยนต์ได้หลากหลายรุ่น โดยเป็น แพลตฟอร์ม T6 รุ่นที่ 3 ได้รับการปรับปรุงใหม่มีการย้ายระบบกันสะเทือนออกมาอยู่ด้านนอกแหนบ เพื่อลดแรงสั่นสะเทือนที่เข้าสู่ห้องโดยสาร

การออกแบบตัวถัง อย่างที่ทราบกันว่า อาศัยแรงบันดาลใจจาก ฟอร์ด เอฟ-150 เป็นต้นแบบสำคัญในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอากาศพลศาสตร์ ดีไซน์เด่นด้วย ไฟหน้าใหม่รูปตัว C มีทั้งฮาโลเจนและแอลอีดี(ขึ้นกับรุ่นย่อย) พร้อมไฟส่องสว่างเวลาขับขี่กลางวัน อักษรคำว่า Ranger ขนาดใหญ่ที่ฝากระบะท้าย

อุปกรณ์ใหม่เพิ่มเติม เช่น ตะขอหน้าแบบคู่ เพื่อช่วยเวลารถติดหล่มหรือต้องได้รับการช่วยเหลือ เพื่อให้พ้นจากสถานการณ์ฉุกเฉินได้สะดวกขึ้น, บันไดด้านข้างกระบะท้าย เพื่อช่วยให้ขึ้น-ลง กระบะได้ง่ายกว่า, ฝากระบะท้ายสารพัดประโยชน์ มีตัวเลขวัดขนาดพร้อมที่ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสาร เป็นต้น


การออกแบบภายในยังคงมีกลิ่นไอของความเป็นฟอร์ด เรนเจอร์ปัจจุบันอยู่พอสมควร แต่ฟอร์ดยืนยันว่านี่คือการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยเราจะเห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงสำคัญคือ หน้าจอคอนโซลกลาง ที่เป็นแบบดิจิทัลระบบสัมผัสขนาดใหญ่2 ทางเลือก คือ 10.1 นิ้ว และ 12 นิ้ว (ใช้งานแบบ2จอ) วางตามแนวตั้ง พร้อมด้วยแท่นชาร์จไร้สายรองรับการเชื่อมต่อบลูทูธขณะชาร์จได้อีกด้วย

แผงหน้าปัดใหม่แสดงผลกราฟฟิกและภาพเคลื่อนไหว พร้อมข้อมูลของรถระหว่างการขับขี่ได้อย่างชัดเจน,ระบบซอฟแวร์ใหม่ รองรับการอัพเกรดได้ในอนาคต, คันเกียร์ดีไซน์ใหม่แบบ Electronic Shifter ดูหราหราและใช้งานง่าย พร้อมด้วยเบรกมือไฟฟ้าและกล้อง 360 องศามองรอบคัน


เบาะนั่งหลังสำหรับรุ่น 4 ประตูสามารถพับแบนราบเพื่อเพิ่มพื้่นที่ใช้สอยได้ และครั้งแรกของการเพิ่ม 6 โหมดการขับขี่ แบบเดียวกับที่มีในรุ่นแรพเตอร์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือ ข้อมูลเบื้องต้นของ เรนเจอร์ เจเนอเรชันใหม่ แน่นอนว่า เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ จะมาในลักษณะนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่เอเวอเรสต์จะมีจุดแตกต่างสำคัญคือ ระบบช่วงล่างด้านหลัง ฉะนั้นอดใจรอได้เลยสำหรับสาวกภูเขาสูง


EV ไม่มีในแผน

กระแสของรถยนต์ไฟฟ้า(EV)เป็นเทรนด์อยู่ในตลาดโลก แต่สำหรับฟอร์ด ประเทศไทย มองว่า เวลานี้ยังไม่เหมาะสำหรับการทำตลาดด้วยรถยนต์ไฟฟ้า อย่างไรก็ตามฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี มีความพร้อมเนื่องจากมีผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าเปิดตัวเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นหากประเทศไทยมีความพร้อมเมื่อใด ฟอร์ด พร้อมทำตลาดได้อย่างไม่ยากนัก เนื่องจากการลงทุนเครื่องจักรใหม่ในครั้งนี้ แม้ไม่ใช่การลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่สามารถต่อยอดเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้

ขณะที่ยอดขายของปี 2564 ฟอร์ด คาดว่าจะสามารถทำได้ราว 32,000 คัน เพิ่มขึ้น13%จากปีก่อนที่มียอดขายราว 29,000 คัน โดยเฉพาะรุ่นเรนเจอร์ ยอดขายมีการเติบโตมากถึง 15% ซึ่งการเปิดตัวโฉมใหม่ของเรนเจอร์ ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายโฉมปัจจุบันแต่อย่างใด เนื่องจากมีการเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว


สำหรับการประเมินภาพรวมของตลาดรถยนต์ปีนี้ ผู้บริหารฟอร์ดคาดว่าจะมียอดประมาณ 750,000-760,000 คัน ลดลงราว 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายในปี 2565 คาดว่าจะเติบโตขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 860,000-870,000 คันได้ เนื่องจากสถานการณ์ของโควิด-19 น่าจะดีขึ้นตามลำดับ














กำลังโหลดความคิดเห็น