เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อโครงการสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่ โรงเรียนเยาววิทย์ โดยในปีนี้นอกจากมอบทุนการศึกษาแล้วยังมอบชุดไฟฟ้าส่องสว่างด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สอดคล้องกับทิศทางของบริษัทฯ ที่กำลังมุ่งหน้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า

ผลพวงจากวิกฤตสึนามิถล่มชายฝั่งภาคใต้ของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2547 ทำให้ ผู้คนและเด็กจำนวนมากได้รับผลกระทบทั้งไร้ที่อยู่อาศัยและโรงเรียนสำหรับการศึกษา ทำให้ ฟิลิป กราฟ วอน ฮาร์เดนเบิร์ก นักธุรกิจชาวเยอรมัน ได้ก่อตั้งโรงเรียนเยาววิทย์ขึ้นที่จังหวัดพังงา ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นที่พักอาศัยและแหล่งเรียนรู้ของเหล่าเด็กซึ่งได้รับผละกระทบจากสึนามิ
นับตั้งแต่ปีแรกที่ก่อตั้งโรงเรียนเยาววิทย์อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2549 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งการมอบทุนการศึกษาและจัดทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือเพื่อแสดงให้เห็นว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย รับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวมอย่างจริงจัง

ในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มีการมอบทุนการศึกษาให้แก่ โรงเรียนเยาววิทย์ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 500,000 บาท พร้อมกับมอบชุดไฟฟ้าส่องสว่างด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 43 ชุด โดยมี โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนในการส่งมอบ
แน่นอนว่า การมอบทุนการศึกษาและการสนับสนุนด้านต่างๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็ก ๆ ได้มีความรู้และสามารถนำมาประยุกต์ เพื่อใช้งานเมื่อเติบโตขึ้น ดังนั้นการช่วยเหลือดังกล่าวจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง



สำหรับกิจกรรมพิเศษของการมอบทุนคราวนี้แตกต่างจากปีอื่นๆ ด้วยการนำบุคคลผู้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตมาพบกับเหล่าเด็กๆ ของโรงเรียนเยาววิทย์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยปีนี้ได้ อดีตนักกีฬาฟันดาบเจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิก “วีระเดช โค๊ธนี” มาสาธิตกีฬาฟันดาบพร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้ ซึ่งได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก





นอกจากเรื่องราวของการทำความดีให้แก่โรงเรียนเยาววิทย์แล้ว ยังมีเรื่องราวระหว่างการเดินทางที่ถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ “ระยะทางราว 1500 กม.” ไป-กลับ กรุงเทพฯ – พังงา ด้วยขุมพลังของ EQ เปรียบเทียบกับขุมพลังเดิมที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ติดตามได้
เริ่มต้นกันด้วยขาไป พาหนะคู่ใจของเราคือเมอร์เซเดส-เบนซ์ GLE350de หนึ่งในรถของตระกูล EQ ที่เป็นซับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ นั่นเอง ซึ่งการเปิดตัวมาด้วยเทคโนโลยี ปลั๊กอินไฮบริด ดีเซล พร้อมกับราคาค่าตัว 4,699,000 บาท ทำให้ยอดขายเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง

ส่วนการขับขี่ต้องบอกว่า สนุกสนาน เหมาะมากสำหรับการเดินทางไกลเช่นนี้ เพราะโดดเด่นในเรื่องของความประหยัดทั้งจากน้ำมันดีเซลและการใช้ไฟฟ้า ซึ่ง GLE350de สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางไกลสุดถึง 100 กม. นั่นหมายความว่า หากคุณใช้งานไม่เกินวันละ 50 กม. คุณไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเลย เพียงแค่กลับมาชาร์จไฟที่บ้านให้เต็มแล้วใช้งานไปได้อย่างสบายๆ
จุดเด่นที่สุดของ GLE350de ยกให้เรื่องของอัตราเร่งที่ตอบสนองได้อย่างทันใจในทุกย่านความเร็ว การทรงตัวนิ่งดีและจะเห็นความแตกต่างจากรถแบบอื่นได้ชัดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง โดยช่วงล่างแบบโช้คอัพถุงลมช่วยให้แรงสะเทือนจากผิวถนนน้อยลง แต่บางท่านอาจจะไม่ชอบหากเป็นการขับในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ เนื่องจากเราจะรู้สึกถึงการโยนตัวได้ง่ายกว่ารถที่ใช้โช้คอัพแบบปกติทั่วไป

ขณะที่ขากลับ เราสลับมาใช้งาน GLE300d รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลปกติ แค่เพียงติดเครื่องยนต์เท่านั้น สามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามาในห้องโดยสารและแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ ซึ่ง GLE350de เงียบชนิดไม่รู้สึกเลย
เมื่อหันมาดูในด้านของฟังก์ชันและอุปกรณ์ต่างๆ ในการใช้งาน GLE350de เป็นรถแบบ 5 ที่นั่งเนื่องจากแถวสุดท้ายเป็นตำแหน่งของแบตเตอรี่ ส่วน GLE300d เป็นแบบ 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถวที่สองสามารถพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ความรู้สึกของการขับขี่ ช่วงล่างแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นปัญหาหากคุณกำลังตัดสินใจระหว่าง 2 รุ่นนี้ ให้ความสบายกับการขับขี่ทางยาวเหมือนกัน ส่วนอัตราเร่ง GLE350de ทำได้ดีกว่าในทุกย่านความเร็ว รวมถึงความเร็วสูงสุดที่ทำได้สูงกว่าด้วยเช่นเดียวกัน

สำหรับสิ่งที่หลายคนอยากทราบกับภารกิจการขับทางยาวๆ อัตราการบริโภคน้ำมันจะแตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือ ด้วยความเร็วที่ใช้และลักษณะของการขับขี่ที่แตกต่างกันทำให้ตัวเลขความสิ้นเปลือง หากนำมาเปรียบเทียบจะมีความได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะตัวแปรแตกต่างกันเกินกว่าจะอ้างอิงได้
อย่างไรก็ตามข้อมูลเบื้องต้นตามการแสดงผลบนหน้าจอหลังถึงจุดหมายปลายทาง GLE350de มีอัตราบริโภคเฉลี่ยราว 12.5 กม./ลิตร และ GLE300d มีอัตราบริโภคเฉลี่ยราว 10.6 กม./ลิตร เป็นไปตามการคาดการณ์อย่างไม่ต้องสงสัย รถแบบปลั้กอินไฮบริดย่อมประหยัดกว่าแน่นอน

ถึงบรรทัดนี้ แก่นของการเดินทางคือจุดหมายปลายทาง แต่ต้องไม่ลืมว่า เรื่องราวระหว่างทางนั้นมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เหนือสิ่งอื่นใด การเลือกรถควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน ซึ่งเรายืนยันหลังขับเป็นระยะทางกว่า 1500 กม.แล้วชัดเจนว่า GLE350de คือตัวเลือกแรกของการเดินทางไกลหากเรามีประจำการอยู่ในโรงจอดรถ







ผลพวงจากวิกฤตสึนามิถล่มชายฝั่งภาคใต้ของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2547 ทำให้ ผู้คนและเด็กจำนวนมากได้รับผลกระทบทั้งไร้ที่อยู่อาศัยและโรงเรียนสำหรับการศึกษา ทำให้ ฟิลิป กราฟ วอน ฮาร์เดนเบิร์ก นักธุรกิจชาวเยอรมัน ได้ก่อตั้งโรงเรียนเยาววิทย์ขึ้นที่จังหวัดพังงา ด้วยจุดประสงค์เพื่อเป็นที่พักอาศัยและแหล่งเรียนรู้ของเหล่าเด็กซึ่งได้รับผละกระทบจากสึนามิ
นับตั้งแต่ปีแรกที่ก่อตั้งโรงเรียนเยาววิทย์อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2549 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทั้งการมอบทุนการศึกษาและจัดทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือเพื่อแสดงให้เห็นว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย รับผิดชอบต่อสังคมและส่วนรวมอย่างจริงจัง
ในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย มีการมอบทุนการศึกษาให้แก่ โรงเรียนเยาววิทย์ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 500,000 บาท พร้อมกับมอบชุดไฟฟ้าส่องสว่างด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 43 ชุด โดยมี โรลันด์ โฟลเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนในการส่งมอบ
แน่นอนว่า การมอบทุนการศึกษาและการสนับสนุนด้านต่างๆ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่เด็ก ๆ ได้มีความรู้และสามารถนำมาประยุกต์ เพื่อใช้งานเมื่อเติบโตขึ้น ดังนั้นการช่วยเหลือดังกล่าวจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง
สำหรับกิจกรรมพิเศษของการมอบทุนคราวนี้แตกต่างจากปีอื่นๆ ด้วยการนำบุคคลผู้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตมาพบกับเหล่าเด็กๆ ของโรงเรียนเยาววิทย์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยปีนี้ได้ อดีตนักกีฬาฟันดาบเจ้าของเหรียญทองแดงโอลิมปิก “วีระเดช โค๊ธนี” มาสาธิตกีฬาฟันดาบพร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับกีฬาชนิดนี้ ซึ่งได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก
นอกจากเรื่องราวของการทำความดีให้แก่โรงเรียนเยาววิทย์แล้ว ยังมีเรื่องราวระหว่างการเดินทางที่ถือว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ “ระยะทางราว 1500 กม.” ไป-กลับ กรุงเทพฯ – พังงา ด้วยขุมพลังของ EQ เปรียบเทียบกับขุมพลังเดิมที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ติดตามได้
เริ่มต้นกันด้วยขาไป พาหนะคู่ใจของเราคือเมอร์เซเดส-เบนซ์ GLE350de หนึ่งในรถของตระกูล EQ ที่เป็นซับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ นั่นเอง ซึ่งการเปิดตัวมาด้วยเทคโนโลยี ปลั๊กอินไฮบริด ดีเซล พร้อมกับราคาค่าตัว 4,699,000 บาท ทำให้ยอดขายเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง
ส่วนการขับขี่ต้องบอกว่า สนุกสนาน เหมาะมากสำหรับการเดินทางไกลเช่นนี้ เพราะโดดเด่นในเรื่องของความประหยัดทั้งจากน้ำมันดีเซลและการใช้ไฟฟ้า ซึ่ง GLE350de สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ระยะทางไกลสุดถึง 100 กม. นั่นหมายความว่า หากคุณใช้งานไม่เกินวันละ 50 กม. คุณไม่จำเป็นต้องเติมน้ำมันเลย เพียงแค่กลับมาชาร์จไฟที่บ้านให้เต็มแล้วใช้งานไปได้อย่างสบายๆ
จุดเด่นที่สุดของ GLE350de ยกให้เรื่องของอัตราเร่งที่ตอบสนองได้อย่างทันใจในทุกย่านความเร็ว การทรงตัวนิ่งดีและจะเห็นความแตกต่างจากรถแบบอื่นได้ชัดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง โดยช่วงล่างแบบโช้คอัพถุงลมช่วยให้แรงสะเทือนจากผิวถนนน้อยลง แต่บางท่านอาจจะไม่ชอบหากเป็นการขับในเมืองที่ใช้ความเร็วต่ำ เนื่องจากเราจะรู้สึกถึงการโยนตัวได้ง่ายกว่ารถที่ใช้โช้คอัพแบบปกติทั่วไป
ขณะที่ขากลับ เราสลับมาใช้งาน GLE300d รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลปกติ แค่เพียงติดเครื่องยนต์เท่านั้น สามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเข้ามาในห้องโดยสารและแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ ซึ่ง GLE350de เงียบชนิดไม่รู้สึกเลย
เมื่อหันมาดูในด้านของฟังก์ชันและอุปกรณ์ต่างๆ ในการใช้งาน GLE350de เป็นรถแบบ 5 ที่นั่งเนื่องจากแถวสุดท้ายเป็นตำแหน่งของแบตเตอรี่ ส่วน GLE300d เป็นแบบ 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถวที่สองสามารถพับได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ความรู้สึกของการขับขี่ ช่วงล่างแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นปัญหาหากคุณกำลังตัดสินใจระหว่าง 2 รุ่นนี้ ให้ความสบายกับการขับขี่ทางยาวเหมือนกัน ส่วนอัตราเร่ง GLE350de ทำได้ดีกว่าในทุกย่านความเร็ว รวมถึงความเร็วสูงสุดที่ทำได้สูงกว่าด้วยเช่นเดียวกัน
สำหรับสิ่งที่หลายคนอยากทราบกับภารกิจการขับทางยาวๆ อัตราการบริโภคน้ำมันจะแตกต่างกันอย่างไร คำตอบคือ ด้วยความเร็วที่ใช้และลักษณะของการขับขี่ที่แตกต่างกันทำให้ตัวเลขความสิ้นเปลือง หากนำมาเปรียบเทียบจะมีความได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะตัวแปรแตกต่างกันเกินกว่าจะอ้างอิงได้
อย่างไรก็ตามข้อมูลเบื้องต้นตามการแสดงผลบนหน้าจอหลังถึงจุดหมายปลายทาง GLE350de มีอัตราบริโภคเฉลี่ยราว 12.5 กม./ลิตร และ GLE300d มีอัตราบริโภคเฉลี่ยราว 10.6 กม./ลิตร เป็นไปตามการคาดการณ์อย่างไม่ต้องสงสัย รถแบบปลั้กอินไฮบริดย่อมประหยัดกว่าแน่นอน
ถึงบรรทัดนี้ แก่นของการเดินทางคือจุดหมายปลายทาง แต่ต้องไม่ลืมว่า เรื่องราวระหว่างทางนั้นมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เหนือสิ่งอื่นใด การเลือกรถควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน ซึ่งเรายืนยันหลังขับเป็นระยะทางกว่า 1500 กม.แล้วชัดเจนว่า GLE350de คือตัวเลือกแรกของการเดินทางไกลหากเรามีประจำการอยู่ในโรงจอดรถ