xs
xsm
sm
md
lg

โตโยต้า Fortuner GR Sport แพงแต่เนียน-หนึบขึ้น แถมลุยได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

หนึ่งในกลยุทธ์กระตุ้นตลาดที่ค่ายรถยนต์นิยมทำคือการปล่อยรถรุ่นพิเศษ หรือรถที่ได้รับการเสริมสมรรถนะให้สูงขึ้นกว่ารุ่นปกติ ซึ่ง โตโยต้า ประเทศไทย อาศัยช่วงเวลาแห่งความยินดีจากการได้รับชัยชนะในการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกทั้งทางฝุ่นและทางเรียบ เปิดตัวรุ่นพิเศษ GR Sport


หนึ่งใน 3 รุ่นของ GR Sport รอบนี้ที่ได้รับการกล่าวถึงมาเป็นพิเศษคือ พี่ใหญ่อย่าง โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport เนื่องจากเป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญที่ลูกค้าหลายรายเฝ้ารอ รวมถึงการประกาศราคาจำหน่ายที่ 1,879,000 บาท และหากเป็นรุ่นสีขาวหรือแดงจะเพิ่มขึ้นอีก 20,000 บาท ทำให้ราคาแตะถึง 1,899,000 บาท สูงที่สุดของรถอเนกประสงค์แบบพีพีวีในบ้านเราเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ทดลองขับ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport แบบครบถ้วนทั้งการใช้งานบนถนนแบบในเมืองนอกเมืองและพาไปลุยแบบออฟโรด ชนิดที่สายออฟโรดพันธ์แท้เขาไปกัน ติดตามผลลัพธ์การขับกันได้ ณ บัดนี้


เติมออปชัน อัพเกรดช่วงล่าง

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลักใหญ่ใจความอยู่ที่การปรับเปลี่ยนช่วงล่างใหม่ยกชุด โดยระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ และด้านหลังเป็นแบบโฟร์ลิงค์ คอยล์สปริงที่ติดตั้งโช้คชุดใหม่แบบโมโนทูป พร้อมสปริงมีการเปลี่ยนค่าK เพื่อช่วยให้รถทรงตัวดีขึ้น

ขณะที่การดีไซน์ภายนอกมีการปรับให้ดูดุดันและเป็นสปอร์ต ด้วยโลโก้ GR ทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง กระจังหน้าสีดำออกแบบสไตล์รังผึ้ง กันชนหน้าพร้อมชุดแต่งสีดำ สปอยเลอร์หลังใหม่ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว สีพิเศษเฉพาะGR Sport มือจับประตูและตัวอักษรFortunerสีเดียวกับตัวรถ












ส่วนการตกแต่งภายในเลือกใช้โทนสีดำสลับแดงแบบรถแข่ง ตัวเบาะนั่งใช้หนังกลับแบบเจาะรูสลับกับหนังสังเคราะห์เดินด้ายสีแดงโดยปักโลโก้ GR บนหัวหมอน พวงมาลัยเปลี่ยนวัสดุหนังหุ้มใหม่เป็นแบบสัมผัสนุ่มและมีโลโก้ GR เช่นเดียวกับปุ่มสตาร์ทที่ติดตั้งโลโก้ด้วย

ชุดตกแต่งภายในเช่นแผงคอนโซลหน้า, ช่องปรับอากาศ, แผงข้างประตู และหัวเกียร์มากับแถบสี Smoke Silver โดยฐานเกียร์ตกแต่งด้วยลาย Carbon Fiber ช่องเก็บของหุ้มหนังสังเคราะห์เดินด้ายสีแดง แป้นเบรกและคันเร่งแบบสปอร์ต พรมรองพื้นและกุญแจรีโมทดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น GR Sport


ด้านระบบเสริมความปลอดภัยครบครันเหมือนเดิมโดยมีการเพิ่มอีก 2 ระบบได้แก่ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSM) และระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ(RCTA)












สำหรับหัวใจยังคงเดิมบรรจุเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบแปรผัน 4 สูบขนาด 2.8 ลิตร กำลังสูงสุด 204 แรงม้าที่ 3,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที ผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 รองรับการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดไบโอดีเซล B20 ได้

ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดพร้อม Sequential Shift และ แพดเดิล ชิฟท์ ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้ที่พวงมาลัย พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบปรับได้ แต่จะไม่มี Differential Lock


ทางเรียบแรงนิ่ง ลุยวิบากได้

สำหรับการทดลองขับในคราวนี้ ขอพิสูจน์กันแบบเต็มที่เหมือนเช่นทีมงานโตโยต้าจัดให้เราทดลองมาในรุ่นปรับปรุงโฉมครั้งก่อน โดยจะมีทั้งการขับแบบใช้งานปกติในเมืองนอกเมือง และการขับแบบออฟโรดฝ่าอุปสรรคทางวิบากที่รอบนี้เรียกว่า สุดโหดอย่างแท้จริง

ขอเริ่มต้นด้วยการขับขี่แบบปกติทั่วไป การใช้งานในเมือง แม้ตัวรถจะค่อนข้างใหญ่ แต่ใช้งานในเมืองได้สะดวกพอควร ผลจากการออกแบบตัวรถมีมุมมองที่กว้างทำให้ทัศนวิสัยดี รัศมีวงเลี้ยวไม่กว้างมาก เพียงพอเข้าซอยเล็ก ๆ หรือโค้งแคบ ๆ ได้อยู่ ส่วนน้ำหนักของพวงมาลัยไม่เบาหวิวแบบพวงมาลัยไฟฟ้า ยังมีความหนืดมือให้รู้สึกได้ โดยระบบความปลอดภัยที่ใส่เพิ่มมาให้ทั้ง BSM และ RCTA เหมาะมากกับการขับขี่ในเมือง


ระบบช่วงล่างที่ปรับมาใหม่ รับรู้ได้ชัดเจนว่า ตัวรถนั้นนิ่งขึ้น ดูซับแรงสะเทือนได้ดีกว่ารุ่นปกติ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับผ่านฝาท่อระบายน้ำและรอยต่อของถนน ขณะที่การขับช้า ๆ แบบในเมืองซึ่งมีการเบรกบ่อย ๆ การโยนตัวของรถเมื่อเบรกน้อยลง ส่งผลดีต่อผู้โดยสารอย่างไม่ต้องสงสัย อันเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนโช้คอัพและสปริงที่รับรู้ได้ชัดเจน

สำหรับการขับแบบทางยาว ออกต่างจังหวัด รู้สึกถึงความแตกต่างเมื่อเทียบกับรุ่น Legender โดย GR Sport นิ่งและทรงตัวดีกว่า รวมถึงแรงสะเทือนน้อยลง ยิ่งขับด้วยความเร็วสูงจะยิ่งเห็นความแตกต่างมากขึ้น ความเร็วที่เราใช้ในการขับทางยาว ๆ อยู่ระหว่าง 100-120 กม./ชม. ขับสนุกและสบายกว่าเดิมค่อนข้างมาก


ส่วนการนั่งทางด้านหลัง หากเทียบกับปิกอัพ ตัวขับสี่ GR Sport แม้ว่าจะปรับปรุงช่วงล่างมาดีขึ้นกว่าเดิม แต่แน่นอนว่า ฟอร์จูนเนอร์ นุ่มและนั่งสบายกว่า ขณะที่การเทียบกับฟอร์จูนเนอร์โฉมก่อน จะให้ความรู้สึกนุ่มและนิ่งกว่า อาจจะยังไม่นุ่มเท่ากับรถเอสยูวีอย่าง โคโรลล่า ครอส แต่ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport ทำได้ใกล้เคียงมาก

ด้านอัตราเร่งและการตอบสนอง คือจุดเด่นที่สุดของฟอร์จูนเนอร์ มาแต่ไหนแต่ไร และการปรับในครั้งนี้ เรารู้สึกเหมือนว่า รถจะพุ่งและตอบสนองไวกว่าเดิม ซึ่งจากการสอบถามทีมผู้ดูแล คำตอบคือมิได้มีการปรับเกี่ยวกับสเปคเครื่องยนต์แต่อย่างใด พละกำลังและระบบส่งกำลังยังคงเหมือนเดิม โดยความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้ในคราวนี้คือ 190 กม./ชม. แบบมั่นใจในทุกย่านความเร็ว ช่วงล่างหนึบแน่น โยนตัวน้อย


ตัดภาพไปที่การทดลองขับแบบออฟโรด เส้นทางช่วงแรกเป็นทางดินแข็งธรรมดา ไม่มีปัญหาใด ๆ ฟอร์จูนเนอร์สอบผ่านฉลุย จนกระทั่งมาถึงจุดแรกทางโค้งร่องลึกและลื่น ปรับโหมดการขับขี่มาเป็น 4Lo ค่อย ๆ เหยียบคันเร่งรักษารอบเครื่องวางไลน์การขับให้ตรงกับที่ผู้นำทางบอก เราขับผ่านแบบสบายกว่าที่คาดเอาไว้ เพราะรถคันก่อนหน้าเรา ขับแล้วลื่นพลาดตกร่องลึกทำให้ต้องช่วยกันพอสมควรกว่าจะผ่านไปได้

ตลอดเส้นทางในการลุยคราวนี้จะเป็นทางหินสลับดินแดงที่ค่อนข้างลื่นเนื่องจากมีฝนตกลงมาตลอด 2-3 วันก่อนที่เราจะเข้ามา ทำให้วันที่เราเข้าไปแม้จะไม่มีฝนแต่เส้นทางถือว่า เละเกินกว่าที่ผู้นำทางของเราเคยขับ ฉะนั้นเราจึงต้องขับตามไลน์รถนำอย่างถูกต้องมากที่สุด จนกระทั่งมาถึงจุดหมายที่สอง เนินเขาสูงชัน


ณ จุดเนินเขา มองด้วยสายตา หากมาเพียงคันเดียวเราคงไม่กล้าขึ้น เพราะค่อนข้างสูงชันและมีร่องลึก แต่ทีมงานยืนยันว่า ขับขึ้นได้อย่างแน่นอน เราเชื่อเช่นนั้น จัดการขับไต่แบบม้วนเดียวผ่านฉลุย โดยกล่าวแบบตรง ๆ ว่า ระหว่างทาง รู้สึกหวาดเสียว มิใช่น้อย แต่เมื่อขับถึงยอดเขา ทำให้รู้ว่าพละกำลังของรถมีมากพอไม่ต้องกลัวว่าจะไปไม่ถึง คือ ถ้าใจถึงรถก็ไปถึงแน่

สองจุดแรกที่เรามองว่ายากแล้ว แต่เมื่อขับเข้าไปลึกและสูงขึ้นเพื่อให้ถึงจุดชมวิว ต้องบอกว่า โหดกว่ามากในสไตล์ของออฟโรดแท้ ๆ เพราะเส้นทางนั้นทั้งลื่นและเป็นหลุมลึกสลับตื้น รวมถึงมีหินขนาดใหญ่ตลอดทาง บางจุดจำเป็นต้องเลี้ยวผ่านหลุมล้อลอยแบบเนินสลับ ตัวรถต้องบิดไปมา บางจุดต้องขับผ่านแบบ 3 ล้อ เรียกว่าได้ใช้งานระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออย่างเต็มรูปแบบ รับรู้ถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่ใส่มาให้ได้เป็นอย่างดี


เหนือสิ่งอื่นใดคือ จังหวะที่รถมีการบิดตัวหรือต้องเอียงอย่างมากจนตัวถังห่างดินด้านข้างไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ แต่รถไม่มีเสียงออดแอด หรืออะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่แน่น แสดงให้เห็นชัดเจนอย่างที่สุดว่า คุณภาพของวัสดุและการประกอบตัวรถนั้นยอดเยี่ยมเพียงไร

ทั้งนี้ ตลอดการเดินทางผู้นำทาง กล่าวชื่นชมตลอดเวลาว่า “รถรุ่นใหม่ ๆ นี่มันนุ่มดีจริง ๆ แถมมีอาวุธมาให้พร้อม” (อาวุธหมายถึง ระบบช่วยขับเคลื่อนทำให้ผ่านอุปสรรคได้ง่าย เนื่องจากรถประจำตัวของผู้นำทางคือ โตโยต้า รุ่นหน้าหนู ซึ่งเขาใช้ลุยออฟโรดจนรู้ทุกเส้นทางรอบ ๆ บริเวณภูเขา) ขณะที่รถพี่เลี้ยงในการลุยรอบนี้คือ โตโยต้า รีโว่ GR Sport 4WD นั่นเอง


สุดท้ายเราขับผ่านทุกอุปสรรคมาจนถึงจุดชมวิว ตามที่เราตั้งใจเอาไว้ได้ เรียกว่ามีจุดยากตลอดเส้นทางมากกว่า 10 จุด เทียบกับการขับลุยเขาระเบิดเมื่อครั้งเปิดตัวรุ่น Legender การลุยเส้นทางใหม่คราวนี้โหดกว่าหลายเท่านัก ซึ่งถือว่าเป็นการพิสูจน์ให้เห็นเป็นประจักษ์ว่า ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของโตโยต้า สามารถพาเราไปถึงจุดหมายและพาเรากลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมัน เฉลี่ยแบบใช้งานในเมือง ตามการแสดงผลบนหน้าจอระบุราว 8 กม./ลิตร ส่วนการขับทางยาวๆ ใช้ความเร็วเกิน 100 กม./ชม. เราเห็นตัวเลขระหว่าง 11-12 กม./ลิตร เมื่อหันมามองที่ค่าตัว เฉียด 1.9 ล้านบาท หลายคนบอกว่า แพง เช่นเดียวกับเรา แต่จากการได้ลองสมรรถนะดังที่กล่าวมาทั้งหมด เชื่อมั่นว่า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport คือพีพีวียืนหนึ่ง หาใครประกบแบบครบเครื่องเช่นนี้ได้ยาก

เนินเขาที่จะไต่ขึ้นไปด้วย โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport สเปคโรงงานข
เหมาะกับใคร

รถยนต์นั่งตรวจการณ์พร้อมลุยในทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นทางเรียบหรือทางทุรกันดาร สามารถพาคุณไปถึงจุดหมายพร้อมกลับได้แบบอุ่นใจ อึดถึกทนทาน เสียยาก ซ่อมง่าย คือจุดเด่นที่โตโยต้าสร้างความเชื่อมั่นมาโดยตลอด ราคาอาจจะสูงจนหลายคนเมินหน้าหนี แต่เชื่อเถอะว่า หากได้ลองขับแล้วเกิดถูกใจ ราคาเท่าไหร่ก็ไม่มีคำว่า แพง

สุดท้ายเดินทางมาถึงจุดชมวิวได้ แบบไร้ริ้วรอย

มากับพี่เลี้ยงอย่าง Revo GR Sport

จุดชมวิว ที่เรียกว่าคุ้มค่าการลุย






กำลังโหลดความคิดเห็น