ฟอร์ด ปูทางเตรียมตัวปล่อยปิกอัพโฉมใหม่ “เรนเจอร์” ในปีหน้า ปรับทิศทางการขาย ตั้งเป้ายอดเติบโตกระโดดหลังเปิดตัว ประเมินตลาดรวมรถยนต์แตะถึง 750,000 คัน ย้ำรถยนต์นั่งและรถไฟฟ้าอยู่ในแผนการดำเนินงานรอตลาดพร้อม ลุยขายได้ทันที
นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ยอดขายของรถยนต์ฟอร์ดในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ทำได้เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะเอเวอร์เรสต์ มียอดขายเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการขายใกล้เคียงเดิมที่ 10% ของตลาดพีพีวี ซึ่งในปีนี้รถยนต์แบบพีพีวีมีการเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของคู่แข่งรายอื่น
ขณะที่รุ่นเรนเจอร์ ครองอันดับ 3 ในตลาดรถปิกอัพและมีสัดส่วนการขายเพิ่มขึ้นเป็น 8.1% จากเดิมที่อยู่ในระดับ 6% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนการขายที่ดี โดยวางเป้าหมายการขายของปีนี้เอาไว้คือรักษาส่วนแบ่งทางการขายราว 8% เนื่องจากเป็นช่วงปลายอายุโมเดลแล้ว
“ปัจจัยที่ทำให้ฟอร์ดมียอดขายเติบโตมาจากการทำProduct Refreshment และการตลาดแบบออนไลน์ ส่วน เรนเจอร์ โฉมใหม่จะเปิดตัวช่วงปีหน้า โดยเราวางแผนการขายรุ่นปัจจุบันให้เหมาะสม ในช่วงคาดเกี่ยวก่อนที่รุ่นใหม่จะวางจำหน่าย ซึ่งในอดีด เรนเจอร์ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมมักจะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเป้าการขายของ เรนเจอร์ โฉมใหม่ เชื่อว่ายอดขายจะเติบโตแบบก้าวกระโดด” นายวิชิต กล่าว
สำหรับการแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยของฟอร์ด ยังอยู่ระหว่างการศึกษารวบรวมข้อมูลโดยฟอร์ดในต่างประเทศมีรถพร้อมทำตลาดเรียบร้อย ในรุ่น มาร์ค อี และเอฟ150 ไลท์นิ่ง หากประเทศไทยมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและตลาดยอมรับ ฟอร์ดสามารถทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้ทันที
อนึ่ง รถยนต์นั่ง ฟอร์ด ยังคงให้ความสนใจอยู่ และรอจังหวะเวลาที่พร้อม ไม่ปิดโอกาสในการทำตลาด เช่นเดียวกับ การขายรถยนต์ฟอร์ด มัสแตง หากมีรุ่นปัจจุบันหยุดการผลิตไปแล้วโฉมใหม่เปิดตัว จะมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ยุติการจำหน่ายแต่อย่างใด
นายวิชิต กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรถยนต์ไทยในช่วงปีนี้ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในเดือนกันยายน หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก ทำให้ประเมินตัวเลขยอดขายรวมได้ยาก แต่หากดูจากแนวโน้มในอดีตที่ผ่านมา ช่วงไตรมาสสุดท้ายยอดขายจะดีกว่าช่วงต้นปีดังนั้นจึงมองว่า ตลาดรถยนต์รวมจะจบที่ระดับ 750,000 คัน
“แม้ว่าทุกประเทศจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สำหรับฟอร์ดประเทศไทย มีส่วนที่ดีคือ การส่งออกรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ยอดส่งออกเติบโตมากกว่า 41% และโรงงานประกอบรถยนต์ของฟอร์ดในประเทศไทยผลิตรถได้มากกว่า 200,000 คัน”
นายวิชิต ว่องวัฒนาการ กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ยอดขายของรถยนต์ฟอร์ดในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ทำได้เป็นที่น่าพึงพอใจ โดยเฉพาะเอเวอร์เรสต์ มียอดขายเพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการขายใกล้เคียงเดิมที่ 10% ของตลาดพีพีวี ซึ่งในปีนี้รถยนต์แบบพีพีวีมีการเพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของคู่แข่งรายอื่น
ขณะที่รุ่นเรนเจอร์ ครองอันดับ 3 ในตลาดรถปิกอัพและมีสัดส่วนการขายเพิ่มขึ้นเป็น 8.1% จากเดิมที่อยู่ในระดับ 6% ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนการขายที่ดี โดยวางเป้าหมายการขายของปีนี้เอาไว้คือรักษาส่วนแบ่งทางการขายราว 8% เนื่องจากเป็นช่วงปลายอายุโมเดลแล้ว
“ปัจจัยที่ทำให้ฟอร์ดมียอดขายเติบโตมาจากการทำProduct Refreshment และการตลาดแบบออนไลน์ ส่วน เรนเจอร์ โฉมใหม่จะเปิดตัวช่วงปีหน้า โดยเราวางแผนการขายรุ่นปัจจุบันให้เหมาะสม ในช่วงคาดเกี่ยวก่อนที่รุ่นใหม่จะวางจำหน่าย ซึ่งในอดีด เรนเจอร์ที่กำลังจะเปลี่ยนโฉมมักจะขายดีเป็นพิเศษ ส่วนเป้าการขายของ เรนเจอร์ โฉมใหม่ เชื่อว่ายอดขายจะเติบโตแบบก้าวกระโดด” นายวิชิต กล่าว
สำหรับการแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยของฟอร์ด ยังอยู่ระหว่างการศึกษารวบรวมข้อมูลโดยฟอร์ดในต่างประเทศมีรถพร้อมทำตลาดเรียบร้อย ในรุ่น มาร์ค อี และเอฟ150 ไลท์นิ่ง หากประเทศไทยมีความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและตลาดยอมรับ ฟอร์ดสามารถทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้ทันที
อนึ่ง รถยนต์นั่ง ฟอร์ด ยังคงให้ความสนใจอยู่ และรอจังหวะเวลาที่พร้อม ไม่ปิดโอกาสในการทำตลาด เช่นเดียวกับ การขายรถยนต์ฟอร์ด มัสแตง หากมีรุ่นปัจจุบันหยุดการผลิตไปแล้วโฉมใหม่เปิดตัว จะมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ยุติการจำหน่ายแต่อย่างใด
นายวิชิต กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดรถยนต์ไทยในช่วงปีนี้ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นในเดือนกันยายน หลังจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนัก ทำให้ประเมินตัวเลขยอดขายรวมได้ยาก แต่หากดูจากแนวโน้มในอดีตที่ผ่านมา ช่วงไตรมาสสุดท้ายยอดขายจะดีกว่าช่วงต้นปีดังนั้นจึงมองว่า ตลาดรถยนต์รวมจะจบที่ระดับ 750,000 คัน
“แม้ว่าทุกประเทศจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่สำหรับฟอร์ดประเทศไทย มีส่วนที่ดีคือ การส่งออกรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ยอดส่งออกเติบโตมากกว่า 41% และโรงงานประกอบรถยนต์ของฟอร์ดในประเทศไทยผลิตรถได้มากกว่า 200,000 คัน”
