แล้วก็มาตามความต้องการของตลาดสำหรับ รถปิกอัพสมรรถนะสูงจากโตโยต้า ในชื่อต่อท้ายรุ่น “GR Sport” อีกนัยหนึ่งคือเพื่อเป็นการฉลองความสำเร็จของทีมแข่ง Gazoo Racing ของโตโยต้าในรายการแข่งขันรถยนต์ระดับโลกทั้งทางฝุ่น (WRC) และทางเรียบ (LeMans24hrs)
สำหรับการเปิดตัวคราวนี้ โตโยต้า ใช้ชื่อรุ่นพิเศษ GR Sport โดยมาพร้อมกัน 3 ทางเลือกจาก 2 รุ่นหลัก ซึ่งเป็นหยิบเอารุ่นท็อปสุดมาปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยฝีมือการพัฒนาต่อยอดของวิศวกรคนไทย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยมากที่สุด
นำทัพด้วย โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport และ รีโว่ GR Sport ที่มี 2 รุ่นย่อยคือ ตัวสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ(4WD) และตัวเตี้ย ขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD) ซึ่งในการทดลองขับคราวนี้ ทีมงานเอ็มจีอาร์ ได้ รีโว่ GR Sport ตัวสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ เชิญติดตามกันได้ว่า ผลลัพธ์ของการปรับปรุงเป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงล่างเปลี่ยนยกชุด
กล่าวถึงรุ่น GR Sport 4WD เป็นการหยิบเอารีโว่รุ่น Rocco 2.8 AT ตัวท็อปสุดมาอัปเกรด เรียกว่า ตัวRocco เดิมยังมีขายอยู่ แต่ได้เพิ่มGR Sport 4WD เข้ามาเสริมให้กลายเป็นท็อปสุด ลักษณะเดียวกับการเพิ่มมาของรุ่น TRD ในไลน์การขายยุคก่อน โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
เริ่มต้นด้วยดีไซน์ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่ กระจังหน้ามาพร้อมตัวอักษร Toyota ที่ขนาดกำลังพอเหมาะ, กันชนหน้าพร้อมชุดแต่งและหลังสีดำเมทัลลิก, ซุ้มล้อสีเดียวกับตัวรถตกแต่งด้วยสีดำ, เสาอากาศแบบ Shark fin, สัญลักษณ์ GR และGR Sport ที่กระจังหน้า ด้านข้างและฝาท้าย, ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำ, คาลิปเปอร์เบรกพ่นสีแดงพร้อมสัญลักษณ์ GR, สปอร์ตบาร์สีดำพร้อมไฟ LED, สติกเกอร์ทั้งด้านข้างและด้านท้าย
จุดสำคัญที่สุดของการปรับปรุงครั้งนี้อยู่ที่ ระบบช่วงล่างใหม่ยกชุด ปรับเปลี่ยนมาใช้โช้คอัพแบบ Monotube และมีขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิม C32 กลายมาเป็น โช้คอัพหน้าขนาด C46 และโช้คอัพหลังขนาดC40 พร้อมกับการเพิ่มแหนบ จากเดิม 3 แผ่นเป็น 5 แผ่น โดยมีการปรับค่า K (ค่าความแข็งของแหนบ)ใหม่
การตกแต่งภายในปรับใหม่หมด เบาะคู่หน้าหยิบยกมาจากฟอร์จูนเนอร์ โดยใช้เบาะหนังกลับแบบเจาะรูสลับหนังสังเคราะห์ โทนสีดำสลับแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR, พวงมาลัย หน้าปัดและปุ่มสตาร์ทมีสัญลักษณ์ GR เสริมความรู้สึกสปอร์ต, แผงข้างประตู คอนโซลหน้าและช่องปรับอากาศตกแต่งด้วยสี Smoke Silverโดยระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา
ระบบเสริมความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน, ระบบเตือนออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (LDA), ระบบควบคุมความเร็วปรับอัตโนมัติ (DRCC), กล้องมองรอบคัน (PVM), ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (RCTA) และ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSM)
ขณะที่เครื่องยนต์เหมือนเดิม มิได้มีการปรับแต่อย่างใด ยังคงเป็น รหัส 1GD-FTV ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบแปรผัน กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมแพดเดิลชิพ ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อม Differential Lock ที่เฟืองท้าย เรียกว่าคบถ้วนลุยได้สบาย
สำหรับราคาของ GR Sport 4WD อยู่ที่ 1,299,000 บาท เทียบกับรุ่น Rocco 2.8 AT 4 WD ราคา 1,256,000 บาท แตกต่างกัน 43,000 บาท ถือว่าเป็นส่วนต่างราคาที่ไม่มากนัก แต่หากเทียบกับคู่แข่งต่างแบรนด์ที่เป็นตัวท็อปในระดับเดียวกันจะมีราคาต่างกันหลักแสนบาทเลยทีเดียว
ขับนุ่ม เด่นทางเรียบ
การทดลองขับในรอบนี้ด้วยขีดจำกัดในด้านของเวลาทำให้เราสามารถทดลองขับได้เพียงการใช้งานแบบในเมืองและปริมณฑลเท่านั้น ประกอบกับสภาพอากาศที่มีฝนตกชุกทำให้ไม่สามารถขับเข้าไปลุยป่าหรือเส้นทางที่เป็นแบบออฟโรดหรือทางฝุ่นได้
ความรู้สึกแรกคือ ช่วงล่างเฟิร์มขึ้น ตัวรถนิ่งกว่าเดิม เรียกว่าความรู้สึกใกล้บุคลิกของรถยนต์นั่งมากขึ้น ค่อนข้างนุ่ม นวล ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า Rocco แบบชัดเจน แต่แน่นอนยังรับรู้ได้ว่าเป็นความรู้สึกการขับรถปิกอัพ ส่วนอัตราเร่งตอบสนองทันใจดี
จังหวะเบรกคืออีกสิ่งที่เรารู้สึกว่า GR Sport เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน การโยนตัวน้อยลง อาการเบรกแบบหัวทิ่มต้องกระแทกเบรกหนักๆ แรงๆ จึงจะรับรู้ได้ หากเป็นการเบรกแบบปกติใช้งานทั่วไป ตัวรถนิ่งดีอย่างน่าประทับใจ ต้นเหตุสำคัญมากจากการเปลี่ยนระบบช่วงล่างชุดใหม่ ส่งผลโดยตรงต่อการโยนตัวของรถอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งนี้ ก่อนได้ทดลองขับเราสอบถามทีมวิศวกรว่าทำไมจึงไม่ใช้โช้คอัพแบบที่มี Subtank มาให้เลยทีเดียวคำตอบคือ จะทำให้ราคาขายนั้นสูงขึ้นอีกมาก ดังนั้นจึงเลือกใช้โช้คชุดนี้แทน และเมื่อได้ลองขับทำให้เข้าใจได้ว่า แค่โช้คชุดนี้เพียงพอสร้างความแตกต่างและน่าจะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประทับใจได้
การขับแบบวิ่งทางยาวๆ GR Sport โดดเด่นกว่า Rocco อย่างชัดเจนทั้งความเร็วปานกลาง และความเร็วสูง โดยเฉพาะช่วงล่างทำให้ตัวรถนิ่งและให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลกว่า เหมาะมากสำหรับการวิ่งถนนหลวงโดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด
ด้านอัตราการเร่งแซงทำได้ดี ด้วยพละกำลัง 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันที่มาในรอบต่ำเพียง 1600 รอบประกอบกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ลงตัวอยู่แล้ว ทำให้การตอบสนองจังหวะเร่งแซงทำได้ดี มั่นใจในทุกย่านความเร็ว ขณะที่ความเร็วสูงสุดลองขับได้ 180 กม./ชม.ในพื้นที่ปิดเท่าที่ระยะทางจะเอื้ออำนวย ตัวรถยังทรงตัวดี อาการลอยลมน้อย ตัวถังค่อนข้างนิ่ง
สำหรับระบบเสริมความปลอดภัยที่ใส่เข้ามาให้ใหม่ ทำงานประทับใจ โดยเฉพาะระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน มีการดึงเพียงพอต่อการเตือนโดยไม่มากจนรบกวนสมาธิในการขับ เช่นเดียวกับระบบ BSM ช่วยให้เวลาเร่งแซงมีความอุ่นใจมากขึ้นจากจุดอับสายตา รวมถึงระบบ RCTA ช่วยให้เวลาถอยออกจากช่องจอดรถมีความปลอดภัย
การเก็บเสียง ยังคงอยู่ในมาตรฐานของรถปิกอัพ เวลาเร่งเครื่องจะได้ยินคำรามของเครื่องยนต์ค่อนข้างชัด ส่วนเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงเกินกว่า 110 กม./ชม. ขึ้นไป จะเริ่มได้ยินเสียงลมปะทะกระจกบานหน้า ส่วนการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ภายในรถ ระบบแอร์อัตโนมัติคือความประทับใจส่วนตัวของผู้เขียน
อัตราการบริโภคน้ำมัน ตามตัวเลขของอีโคสติกเกอร์ระบุเฉลี่ย 13.5 กม./ลิตร ส่วนจากการขับของเราทั้งแบบในเมืองและนอกเมือง โดยการแสดงผลบนหน้าจอระบุตัวเลขเฉลี่ยที่ 9.8-9.9 กม./ลิตร ถือว่าอยู่ในระดับปกติ ยอมรับได้ภายใต้ลักษณะการขับขี่ที่มีทั้งรถติด, เร่งแซง, ลอยตัวคงที่ด้วยความเร็วเต็มพิกัดไม่เกินกฎหมายระบุไว้ รวมถึงการลองขับหาความเร็วสูงสุดด้วย
ประเด็นสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากของ GR Sport คือการตั้งราคา 1,299,000 บาท ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับปิกอัพแบรนด์อื่น แต่แน่นอนว่าจะยังมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบและมีความเชื่อมั่นในโตโยต้า ที่มีจุดเด่นที่สุดในเรื่องของความทนทานและการดูแลรักษาง่าย โดย GR Sport ตั้งใจมาเจาะกลุ่มลูกค้าปิกอัพระดับบน เช่นเดียวกับคนที่ซื้อ ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ นั่นเอง
เหมาะกับใคร
คนที่กำลังมองหาปิกอัพสมรรถนะสูงจากโตโยต้า ซึ่ง GR Sport ถูกปรับปรุงมาให้ได้ความนุ่มและนิ่งขึ้นกว่ารุ่นปกติ พร้อมเติมออปชันให้ความรู้สึกสปอร์ต เมื่อราคาไม่ใช่เงื่อนไข นี่คือทางเลือกที่ตอบโจทย์นักเดินทาง โดยความคุ้มค่าของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
สำหรับการเปิดตัวคราวนี้ โตโยต้า ใช้ชื่อรุ่นพิเศษ GR Sport โดยมาพร้อมกัน 3 ทางเลือกจาก 2 รุ่นหลัก ซึ่งเป็นหยิบเอารุ่นท็อปสุดมาปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยฝีมือการพัฒนาต่อยอดของวิศวกรคนไทย เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าชาวไทยมากที่สุด
นำทัพด้วย โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport และ รีโว่ GR Sport ที่มี 2 รุ่นย่อยคือ ตัวสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ(4WD) และตัวเตี้ย ขับเคลื่อน 2 ล้อ (2WD) ซึ่งในการทดลองขับคราวนี้ ทีมงานเอ็มจีอาร์ ได้ รีโว่ GR Sport ตัวสูงขับเคลื่อน 4 ล้อ เชิญติดตามกันได้ว่า ผลลัพธ์ของการปรับปรุงเป็นอย่างไรบ้าง
ช่วงล่างเปลี่ยนยกชุด
กล่าวถึงรุ่น GR Sport 4WD เป็นการหยิบเอารีโว่รุ่น Rocco 2.8 AT ตัวท็อปสุดมาอัปเกรด เรียกว่า ตัวRocco เดิมยังมีขายอยู่ แต่ได้เพิ่มGR Sport 4WD เข้ามาเสริมให้กลายเป็นท็อปสุด ลักษณะเดียวกับการเพิ่มมาของรุ่น TRD ในไลน์การขายยุคก่อน โดยมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
เริ่มต้นด้วยดีไซน์ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่ กระจังหน้ามาพร้อมตัวอักษร Toyota ที่ขนาดกำลังพอเหมาะ, กันชนหน้าพร้อมชุดแต่งและหลังสีดำเมทัลลิก, ซุ้มล้อสีเดียวกับตัวรถตกแต่งด้วยสีดำ, เสาอากาศแบบ Shark fin, สัญลักษณ์ GR และGR Sport ที่กระจังหน้า ด้านข้างและฝาท้าย, ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สีดำ, คาลิปเปอร์เบรกพ่นสีแดงพร้อมสัญลักษณ์ GR, สปอร์ตบาร์สีดำพร้อมไฟ LED, สติกเกอร์ทั้งด้านข้างและด้านท้าย
จุดสำคัญที่สุดของการปรับปรุงครั้งนี้อยู่ที่ ระบบช่วงล่างใหม่ยกชุด ปรับเปลี่ยนมาใช้โช้คอัพแบบ Monotube และมีขนาดใหญ่ขึ้น จากเดิม C32 กลายมาเป็น โช้คอัพหน้าขนาด C46 และโช้คอัพหลังขนาดC40 พร้อมกับการเพิ่มแหนบ จากเดิม 3 แผ่นเป็น 5 แผ่น โดยมีการปรับค่า K (ค่าความแข็งของแหนบ)ใหม่
การตกแต่งภายในปรับใหม่หมด เบาะคู่หน้าหยิบยกมาจากฟอร์จูนเนอร์ โดยใช้เบาะหนังกลับแบบเจาะรูสลับหนังสังเคราะห์ โทนสีดำสลับแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR, พวงมาลัย หน้าปัดและปุ่มสตาร์ทมีสัญลักษณ์ GR เสริมความรู้สึกสปอร์ต, แผงข้างประตู คอนโซลหน้าและช่องปรับอากาศตกแต่งด้วยสี Smoke Silverโดยระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติ ปรับอิสระแยกซ้าย-ขวา
ระบบเสริมความปลอดภัยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย ระบบความปลอดภัยก่อนการชน, ระบบเตือนออกนอกเลนพร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ (LDA), ระบบควบคุมความเร็วปรับอัตโนมัติ (DRCC), กล้องมองรอบคัน (PVM), ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ (RCTA) และ ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง (BSM)
ขณะที่เครื่องยนต์เหมือนเดิม มิได้มีการปรับแต่อย่างใด ยังคงเป็น รหัส 1GD-FTV ดีเซลขนาด 2.8 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบแปรผัน กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมแพดเดิลชิพ ขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อม Differential Lock ที่เฟืองท้าย เรียกว่าคบถ้วนลุยได้สบาย
สำหรับราคาของ GR Sport 4WD อยู่ที่ 1,299,000 บาท เทียบกับรุ่น Rocco 2.8 AT 4 WD ราคา 1,256,000 บาท แตกต่างกัน 43,000 บาท ถือว่าเป็นส่วนต่างราคาที่ไม่มากนัก แต่หากเทียบกับคู่แข่งต่างแบรนด์ที่เป็นตัวท็อปในระดับเดียวกันจะมีราคาต่างกันหลักแสนบาทเลยทีเดียว
ขับนุ่ม เด่นทางเรียบ
การทดลองขับในรอบนี้ด้วยขีดจำกัดในด้านของเวลาทำให้เราสามารถทดลองขับได้เพียงการใช้งานแบบในเมืองและปริมณฑลเท่านั้น ประกอบกับสภาพอากาศที่มีฝนตกชุกทำให้ไม่สามารถขับเข้าไปลุยป่าหรือเส้นทางที่เป็นแบบออฟโรดหรือทางฝุ่นได้
ความรู้สึกแรกคือ ช่วงล่างเฟิร์มขึ้น ตัวรถนิ่งกว่าเดิม เรียกว่าความรู้สึกใกล้บุคลิกของรถยนต์นั่งมากขึ้น ค่อนข้างนุ่ม นวล ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีกว่า Rocco แบบชัดเจน แต่แน่นอนยังรับรู้ได้ว่าเป็นความรู้สึกการขับรถปิกอัพ ส่วนอัตราเร่งตอบสนองทันใจดี
จังหวะเบรกคืออีกสิ่งที่เรารู้สึกว่า GR Sport เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน การโยนตัวน้อยลง อาการเบรกแบบหัวทิ่มต้องกระแทกเบรกหนักๆ แรงๆ จึงจะรับรู้ได้ หากเป็นการเบรกแบบปกติใช้งานทั่วไป ตัวรถนิ่งดีอย่างน่าประทับใจ ต้นเหตุสำคัญมากจากการเปลี่ยนระบบช่วงล่างชุดใหม่ ส่งผลโดยตรงต่อการโยนตัวของรถอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งนี้ ก่อนได้ทดลองขับเราสอบถามทีมวิศวกรว่าทำไมจึงไม่ใช้โช้คอัพแบบที่มี Subtank มาให้เลยทีเดียวคำตอบคือ จะทำให้ราคาขายนั้นสูงขึ้นอีกมาก ดังนั้นจึงเลือกใช้โช้คชุดนี้แทน และเมื่อได้ลองขับทำให้เข้าใจได้ว่า แค่โช้คชุดนี้เพียงพอสร้างความแตกต่างและน่าจะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายประทับใจได้
การขับแบบวิ่งทางยาวๆ GR Sport โดดเด่นกว่า Rocco อย่างชัดเจนทั้งความเร็วปานกลาง และความเร็วสูง โดยเฉพาะช่วงล่างทำให้ตัวรถนิ่งและให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลกว่า เหมาะมากสำหรับการวิ่งถนนหลวงโดยเฉพาะพื้นที่ต่างจังหวัด
ด้านอัตราการเร่งแซงทำได้ดี ด้วยพละกำลัง 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันที่มาในรอบต่ำเพียง 1600 รอบประกอบกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่ลงตัวอยู่แล้ว ทำให้การตอบสนองจังหวะเร่งแซงทำได้ดี มั่นใจในทุกย่านความเร็ว ขณะที่ความเร็วสูงสุดลองขับได้ 180 กม./ชม.ในพื้นที่ปิดเท่าที่ระยะทางจะเอื้ออำนวย ตัวรถยังทรงตัวดี อาการลอยลมน้อย ตัวถังค่อนข้างนิ่ง
สำหรับระบบเสริมความปลอดภัยที่ใส่เข้ามาให้ใหม่ ทำงานประทับใจ โดยเฉพาะระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน มีการดึงเพียงพอต่อการเตือนโดยไม่มากจนรบกวนสมาธิในการขับ เช่นเดียวกับระบบ BSM ช่วยให้เวลาเร่งแซงมีความอุ่นใจมากขึ้นจากจุดอับสายตา รวมถึงระบบ RCTA ช่วยให้เวลาถอยออกจากช่องจอดรถมีความปลอดภัย
การเก็บเสียง ยังคงอยู่ในมาตรฐานของรถปิกอัพ เวลาเร่งเครื่องจะได้ยินคำรามของเครื่องยนต์ค่อนข้างชัด ส่วนเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงเกินกว่า 110 กม./ชม. ขึ้นไป จะเริ่มได้ยินเสียงลมปะทะกระจกบานหน้า ส่วนการใช้งานฟังก์ชันต่างๆ ภายในรถ ระบบแอร์อัตโนมัติคือความประทับใจส่วนตัวของผู้เขียน
อัตราการบริโภคน้ำมัน ตามตัวเลขของอีโคสติกเกอร์ระบุเฉลี่ย 13.5 กม./ลิตร ส่วนจากการขับของเราทั้งแบบในเมืองและนอกเมือง โดยการแสดงผลบนหน้าจอระบุตัวเลขเฉลี่ยที่ 9.8-9.9 กม./ลิตร ถือว่าอยู่ในระดับปกติ ยอมรับได้ภายใต้ลักษณะการขับขี่ที่มีทั้งรถติด, เร่งแซง, ลอยตัวคงที่ด้วยความเร็วเต็มพิกัดไม่เกินกฎหมายระบุไว้ รวมถึงการลองขับหาความเร็วสูงสุดด้วย
ประเด็นสำคัญที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากของ GR Sport คือการตั้งราคา 1,299,000 บาท ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับปิกอัพแบรนด์อื่น แต่แน่นอนว่าจะยังมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบและมีความเชื่อมั่นในโตโยต้า ที่มีจุดเด่นที่สุดในเรื่องของความทนทานและการดูแลรักษาง่าย โดย GR Sport ตั้งใจมาเจาะกลุ่มลูกค้าปิกอัพระดับบน เช่นเดียวกับคนที่ซื้อ ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ นั่นเอง
เหมาะกับใคร
คนที่กำลังมองหาปิกอัพสมรรถนะสูงจากโตโยต้า ซึ่ง GR Sport ถูกปรับปรุงมาให้ได้ความนุ่มและนิ่งขึ้นกว่ารุ่นปกติ พร้อมเติมออปชันให้ความรู้สึกสปอร์ต เมื่อราคาไม่ใช่เงื่อนไข นี่คือทางเลือกที่ตอบโจทย์นักเดินทาง โดยความคุ้มค่าของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน