ฮอนด้า แอคคอร์ด (Honda Accord) เจเนอเรชันที่ 10 เปิดตัวทำตลาดในประเทศไทยเป็นระยะเวลาราว 2 ปีแล้ว ซึ่งยังไม่ถึงช่วงของการปรับโฉม แต่เพื่อกระตุ้นความสดใหม่และสร้างกระแสในตลาด ฮอนด้าจึงปล่อยรุ่นเพิ่มออปชันออกมาทั้งรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ และรุ่นไฮบริด โดยมีการปรับชื่อเรียกรุ่นใหม่
สำหรับชื่ออย่างเป็นทางการใหม่ รุ่น 1.5 ลิตร เทอร์โบ จะถูกเรียกว่า EL และรุ่นไฮบริด ชื่อใหม่ว่า e:HEV TECH และe:HEV EL+ โดยยังคงมีให้เลือก 3 รุ่นย่อยเหมือนเดิม ส่วนจะมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง และการขับขี่เปรียบเทียบกันเป็นอย่างไร ทีมงาน "เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง" พร้อมนำเสนอ
เติมปลอดภัย Honda Sensing
เริ่มต้นกันที่รุ่นไฮบริด e:HEV TECH และe:HEV EL+ เนื่องจากมีการปรับเพิ่มเพียงเล็กน้อย ภายนอก สัญลักษณ์ตัว H แบบใหม่เป็นสีฟ้า แสดงถึงความเป็นรถไฮบริด ภายในเพิ่มระบบฟอกอากาศ พลาสม่าคลัสเตอร์ และกระจกไฟฟ้าปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติทั้ง 4 บาน (เดิมคู่หน้า) เพียงแค่สามรายการที่ได้รับการเพิ่มเข้ามาฉะนั้น รุ่นไฮบริดทั้งหมดจึงขายราคาเดิม คือ e:HEV TECH 1,799,000 บาทและ e:HEV EL+ 1,639,000 บาท
ส่วนรุ่น 1.5 เทอร์โบ เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เป็น EL โดยมีการเพิ่มออปชันใหม่หลากหลายรายการ ได้แก่ ไฟตัดหมอกคู่หน้า, ปลายท่อไอเสียคู่, ที่ชาร์จแบบไร้สาย, กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ, ม่านบังแดดกระจกข้างผู้โดยสารตอนหลัง, ช่องต่อUSB, กระจกไฟฟ้าปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติทั้ง 4 บาน, Honda Connect และระบบเสิรมความปลอดภัย Honda Sensing
ระบบเสริมความปลอดภัย Honda Sensing ที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น EL จะประกอบไปด้วย · ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (CMBS), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (ACC with LSF), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (RDM with LDW) และ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (AHB)
ซึ่งออปชันทั้งหมดและระบบเสริมความปลอดภัยที่กล่าวมา ฮอนด้า ปรับราคารุ่น EL มาจำหน่ายที่ 1,499,000 บาท เพิ่มราคาจากเดิม 24,000 บาท เรียกว่าคุ้มค่ากว่าตัวเดิมอย่างชัดเจน
สำหรับหัวใจยังเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงรุ่น EL คบหากับ เครื่องยนต์1.5 ลิตร Di VTEC TURBO กำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 243 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิด E85 ได้ โดยเคลมตัวเลขการบริโภคน้ำมันไว้ที่ 16.4 กม./ลิตร
ขณะที่รุ่น e:HEV เหมือนเดิมด้วยระบบฟูลไฮบริด Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร แบบ Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กำลังรวมสูงสุด 215 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตัน-เมตร
ทั้งนี้ มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวจะแบ่งหน้าที่กันทำงาน โดยMotor Generator จะสร้างกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก และมอเตอร์อีกหนึ่งตัวทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียม-ไอออน อัตราการบริโภคน้ำมัน 24.4 กิโลเมตร/ลิตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำเพียง 97 กรัม/กิโลเมตร ส่วนการออกแบบภายนอกและภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบช่วงล่างทุกอย่างยังเหมือนเดิมมิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด
ชอบคุ้มเลือก EL เน้นไฮเทคคบ e:HEV
การขับขี่ช่วงแรกเราได้ขับในรุ่น 1.5 เทอร์โบ ก่อน เปรียบเทียบให้เห็นภาพแบบเข้าใจง่ายๆ ด้วยการหยิบเอาซีวิค 1.5 เทอร์โบ รุ่นใหม่ล่าสุด เจน 11 ที่เพิ่งตัวไปมาเทียบการขับขี่ เนื่องจาก ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกัน (ซีวิคหยิบยกมาจากแอคคอร์ด แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนบางรายการพร้อมปรับจูนใหม่)
ระบบช่วงล่าง ให้ความรู้สึกมั่นคงกว่า แต่ไม่นุ่มเท่ากับซีวิค ด้วยขนาดตัวถังใหญ่และฐานล้อยาวกว่า อัตราเร่งทันใจพอๆ กัน มีความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์ พวงมาลัยเบามือน้ำหนักกำลังดี ไม่เบาหรือหนืดจนเกินไป ส่วนการป้องกันเสียงจากภายนอกทำได้ดี แต่เสียงเครื่องยนต์เวลากดคันเร่งหนักได้ยินชัดเจนอยู่
แอคคอร์ด แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่การขับขี่ในเมืองยังให้ความคล่องตัวระดับหนึ่ง โดยเฉพาะฟังก์ชันด้านความปลอดภัยที่ใส่เพิ่มเข้ามา สามารถช่วยให้อุ่นใจในการขับขี่มากขึ้น การตอบสนองของคันเร่งค่อนข้างหนักเท้าอยู่พอสมควร ขณะที่เบรกกำลังดี ไร้อาการหัวทิ่ม
การขับแบบทางยาวๆ ความเร็วสูงในระดับ 100-120 กม./ชม. บนทางด่วนรถทรงตัวดี จังหวะเร่งแซงหากกดคันเร่งแบบคิกดาวน์ ตัวรถพุ่งทะยานอย่างทันใจ ไม่มีการรอรอบแต่อย่างใด ยกให้เป็นจุดเด่นสุดของแอคคอร์ด เสียงลมประทะทางด้านหน้าจะเริ่มได้ยินเมื่อขับด้วยความเร็วเกิน 120 กม./ชม. ขึ้นไป
เมื่อขับรุ่น 1.5 เทอร์โบ ถึงจุดหมายได้เวลาเปลี่ยนรถสลับลองขับรุ่นไฮบริดที่มาในชื่อใหม่ว่า e:HEV สิ่งแรกที่รับรู้ได้ทันทีเมื่อกดคันเร่งออกตัวคือ ไฮบริดพุ่งและคันเร่งเบาเท้ากว่า ตอบสนองเนียนนุ่ม พร้อมกับความเงียบไร้เสียงเครื่องยนต์รบกวน มีเพียงเสียงยางบดถนนที่ได้ยินบ้างตามความเร็วและลักษณะของผิวถนน
ขณะที่การเร่งแซงช่วงความเร็วปานกลาง 40-80 กม./ชม. มีจังหวะรอนิดหน่อย เทียบแล้วรุ่น 1.5 เทอร์โบ ให้ความรู้สึกที่กระฉับกระเฉงกว่า แต่เมื่อรถลอยลำด้วยความเร็วสูงระดับ 100-120 กม./ชม. กลับเป็น ไฮบริดที่ให้ความรู้สึกตอบสนองทันใจและสบายเท้ามากกว่า
ระบบพลาสม่าคลัสเตอร์ที่ใส่เพิ่มเข้ามาให้ สารภาพตามตรงว่า ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างแต่อย่างใด แน่นอนว่าคงเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
น้ำหนักพวงมาลัยและเบรก เราไม่รู้สึกถึงความแตกต่างมากนัก รวมถึงระบบช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกันมาก ไม่อาจรับรู้ได้ว่าต่างกันอย่างไร ภายใต้การขับขี่แบบใช้งานปกติทั่วไป ที่มีทั้งขับแบบในเมืองและขับทางยาวด้วยความเร็วสูงบนทางด่วน
สำหรับสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนอีกหนึ่งประการคือ อัตราการบริโภคน้ำมัน จากการลองขับของเราที่มีการจอดรถติดเครื่องยนต์เอาไว้ตลอดเวลารวมกับการขับไปพร้อม ๆ ทั้งสองรุ่นตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มจนถึงจุดหมาย หน้าจอของ 1.5 เทอร์โบ ระบุตัวเลข 7.3 กม./ลิตร ส่วนรุ่นไฮบริด ระบุ 11.6 กม./ลิตร ณ ระยะทางการขับขี่ที่เท่ากัน
แน่นอนว่าด้วยราคาค่าตัวที่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญราว 200,000-300,000 บาท (แล้วแต่รุ่นย่อย) เมื่อฮอนด้าใส่ระบบเสริมความปลอดภัยให้รุ่น 1.5 เทอร์โบ เทียบเท่ารุ่นไฮบริด ส่งผลให้รู้สึกถึงความคุ้มค่าแบบชัดเจนของรุ่น 1.5 เทอร์โบ ขึ้นมาทันที
เหมาะกับใคร
รุ่น 1.5 เทอร์โบ ตอบโจทย์ในเรื่องของความคุ้มค่า ได้อัตราเร่งที่ขับสนุก ไม่ต้องกังวลเรื่องของแบตเตอรี่หรือระบบไฟฟ้า ส่วนรุ่น ไฮบริด เหมาะกับคนที่ชอบความล้ำสมัย ขับขี่นุ่มเนียนและออปชันที่ครบมากกว่า พร้อมอัตราการประหยัดน้ำมันซึ่งจะคืนทุนส่วนต่างราคาได้ในระยะยาว ถ้าให้เราเลือก มองความคุ้มคบ 1.5 เทอร์โบ หากมองไฮเทคครบจบด้วยไฮบริด