หลังจากเปิดตัวทำตลาดมาเป็นระยะเวลานานร่วม 3 ปี “นิสสัน เทอร์ร่า” พีพีวี ตัวความหวังของนิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย ได้เวลาของการไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งถือว่าเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ แทบจะเปลี่ยนหมดทั้งคัน ทั้งภายนอก และภายใน พร้อมเติมออปชันให้อย่างจุใจ
ทั้งนี้ ทีมงานนิสสัน ได้จัดรูปแบบการทดลองขับใหม่เพื่อให้สอดรับกับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยการส่งรถยนต์มาให้สื่อทดสอบเป็นรายบุคคล ให้เวลาหนึ่งวันเต็ม ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง จัดเต็มแบบครบถ้วนทั้งการใช้งานในเมืองและวิ่งออกนอกเมือง ผลลัพธ์ติดตามได้
หน้าใหม่ ภายในเน้นบันเทิง
การปรับปรุงโฉมภายนอก เริ่มด้วยการใช้กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ทั้งหมดรวมถึงด้านท้ายรถ ตั้งแต่สปอยเลอร์หลังคาไปจนถึงกันชนด้านล่าง ด้วยการใช้โครเมียมที่แข็งแกร่งและสีเงินเพื่อเพิ่มความรู้สึกที่หรูหรา ส่วนจุดเด่นที่สุดเราชอบ ไฟหน้าใหม่ที่เป็นแบบ Quad LED 4 ดวงในแต่ละด้าน มีความสว่างมากขึ้น 34% ขณะที่ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลายใหม่
หัวใจยังคงคบหาเครื่องยนต์ดีเซล YS23DDTT ขนาด 2.3 ลิตร ทวินเทอร์โบ มีกำลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร และเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ตอบสนองไวขึ้น สามารถรองรับน้ำมันดีเซลได้ทุกชนิดทั้ง B7, B10 และ B20
สำหรับภายในห้องโดยสารคือจุดที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดในการปรับปรุงครั้งนี้ คอนโซลหน้าดีไซน์ใหม่หมด มาพร้อมหน้าจอสัมผัส Display Audio ใหม่ ขนาด 9 นิ้ว พร้อมด้วยระบบสั่งงานด้วยเสียงและ NissanConnect รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่าน Apple CarPlay แบบไร้สายเป็นครั้งแรกของรถยนต์ในระดับเดียวกัน และรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Android Auto
หน้าปัด ดีไซน์ใหม่พร้อม พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น หุ้มหนังรูปทรง D-shape แบบสปอร์ต ดูทันสมัยขึ้นกว่าเดิม ระบบช่วงล่างด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ (5-Link) พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนโหมดขับเคลื่อนจากสองล้อ (2H) เป็นโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อได้ผ่าน Rotor Switch ที่บริเวณแผงคอนโซลกลาง
ระบบเสริมความปลอดภัย จัดเต็มมาในชื่อ ‘นิสสัน 360° เซฟตี้ ชิลด์ (360 degree Safety Shield Technology)’ มีระบบเด่นๆ เช่น ช่วยเบรกฉุกเฉิน(IEB), กล้องมองภาพรอบทิศทาง (IAVM) ที่ทำงานร่วมกับระบบตรวจวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD), เตือนรถมุมอับสายตา (BSW), เตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง (LDW), ตรวจจับวัตถุด้านหลังขณะถอย (RCTA), เตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชน (IFCW) และเตือนผู้ขับขี่เมื่อรู้สึกถึงการขาดสมาธิหรือเหนื่อยล้า (IDA) รวมถึง กระจกมองหลังแสดงภาพจากกล้องความละเอียดสูง Intelligent Rear View Mirror
เบาะนั่งคู่หน้าดีไซน์ใหม่ใช้เทคโนโลยี Zero Gravity เพื่อให้นั่งสบายขึ้นตลอดการเดินทาง ส่วนเบาะที่นั่งแถวที่สองและสาม ดีไซน์ให้ปรับได้หลากหลายรูปแบบ ทั้ง Theatre Style Seating ปรับง่าย ๆ ด้วยฟังก์ชั่น Auto Tumble Seat พับเบาะแถวที่สองโดยอัตโนมัติแค่เพียงกดปุ่มแบบ 1-touch remote fold & tumble ที่คอนโซลกลาง ฝาประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมเซนเซอร์ด้านใต้กันชนหลัง (Auto Lift Gate)
ผู้โดยสารในแถวสอง และสาม สามารถรับชมความบันเทิงผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ 11 นิ้ว ที่สามารถเชื่อมต่อกับความบันเทิงออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย ผ่านช่อง HDMI หรือ การเชื่อมต่อแบบสมาร์ททีวี พร้อมด้วยช่องชาร์จไฟที่ผู้โดยสารทุกคนบนรถสามารถชาร์จอุปกรณ์ได้หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน
ระบบความบันเทิง Bose Premium Audio System ลำโพง 8 ตำแหน่ง พร้อมแอมพลิฟายเออร์ซ่อนอยู่ใต้เบาะที่นั่งคนขับ ซึ่ง เทอร์ร่ามีการเพิ่มฉนวนเพื่อลดเสียงรบกวน และเพิ่ม Acoustic Glass ทั้งกระจกตอนหน้าและประตูคู่หน้า
เร่งดีขึ้น ช่วงล่างแน่น นุ่มกว่าเดิม
การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ทีมงานนิสสันระบุว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งที่ได้รับการปรับปรุง ดังเช่นที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ส่วนผลลัพธ์ของการปรับนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เริ่มจากความรู้สึกแรกที่ได้เห็นดีไซน์ตัวถังภายนอก คือน่าจะทำแบบนี้มาตั้งแต่แรก ดูทันสมัยและโฉบเฉี่ยว โดยเฉพาะโคมไฟหน้าแบบ Quad LED ให้ความรู้สึกแบบรถหรูเลยทีเดียว
ส่วนภายในห้องโดยสาร การปรับใช้ชุดคอนโซลหน้าที่เป็นดีไซน์เดียวกับรถเก๋งของนิสสัน ทำให้ลบภาพของการเป็นปิกอัพดัดแปลงไปได้อย่างดี การใส่ออปชันล้นหลามในรุ่นท็อป ขับเคลื่อน 4 ล้อที่เราได้ขับ เรียกว่าน่าสนใจมากกับ จอ11นิ้วทางด้านหลังที่มาพร้อมกับ Mi TV ดูหนังกันเพลินๆ สบายๆ เหมาะที่สุดสำหรับครอบครัวที่มี เด็กๆ เพราะจะทำให้พวกเขานั่งนิ่งๆ ได้ตลอดการเดินทาง
เริ่มต้นการขับขี่กันด้วยการขับแบบในเมือง โดยคันที่เราได้ลองขับเป็นรุ่นท็อป 2.3 VL 4WD สิ่งแรกที่รู้สึกคือ การออกตัวดูกระฉับกระเฉงขึ้นทั้งที่ เครื่องยนต์ พิกัดกำลังเท่าเดิม ความลับคือ มีการปรับแต่งคันเร่งไฟฟ้าใหม่ ให้ตอบสนองไวขึ้นในรอบเครื่องยนต์ต่ำ ทัศนวิสัยการขับขี่ แม้ตัวรถจะค่อนข้างใหญ่แต่ด้วยความเป็นรถสูงจึงมองเห็นชัดเจน การเปลี่ยนเลนทำได้ง่าย จะมีที่ต้องระวังคือเวลาเลี้ยวเข้าซอยแคบๆ แต่ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะมีการปรับรอบการหมุนของพวงมาลัยให้น้อยลง
การดูดซับแรงสะเทือน เรารับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลง ตัวรถนุ่มขึ้นกว่าโฉมก่อนแต่ไม่ย้วย โดยได้สอบถามว่ามีการปรับเปลี่ยนระบบช่วงล่างอย่างไรบ้าง คำตอบคือ เหมือนเดิมทุกประการ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ น้ำหนักตัวที่มากขึ้นกว่าเดิม 32 กิโลกรัม ส่งผลต่อความรู้สึกในการขับขี่ได้
ระบบเบรก เอาอยู่แบบมั่นใจกว่าเดิม พร้อมกับการโยนตัวน้อยลง ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการเปลี่ยนระบบเบรกใหม่ ให้เป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ (ยกเว้นรุ่นเริ่มต้นที่เบรกหลังยังเป็นดรัมเบรก) พร้อมด้วยการใช้จานเบรกใหม่ขนาดใหญ่กว่าเดิมจาก 296 มม. กลายเป็น 350 มม. สำหรับล้อหน้า และ 330 มม. ที่ล้อหลัง
การขับขี่แบบทางยาวๆ เดินทางไกล ด้วยความเร็ว 80-120 กม./ชม. ตัวรถทรงตัวดี ให้ความรู้สึกนุ่มกว่าเดิม ความรู้สึกแบบปิกอัพหายไปเยอะ โดยรวมแล้วใกล้เคียงกับการขับนิสสัน เอ็กซ์เทรล มากขึ้น แต่จะมีสิ่งที่น่าแปลกใจคือน้ำหนักของพวงมาลัยเมื่อขับเร็วขึ้นกลับเบามือกว่าการขับช้า ทีมวิศวกรอธิบายว่าเป็นความตั้งใจที่ให้เป็นแบบนั้น
ความเร็วสูงสุดที่เราขับได้ในการลองคราวนี้ ( พื้นที่ปิด) อยู่ที่ 160 กม./ชม. ตัวรถยังทรงตัวดี เสียงลมเริ่มรบกวนที่ความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. ขึ้นไป ส่วนเสียงยางบดถนนและเสียงเครื่องยนต์มีให้รับรู้ได้แต่ไม่ถึงกับรบกวนเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มกระจกกันเสียงเป็น 3 บานทางด้านหน้านั่นเอง
สำหรับการขับขี่บนทางด่วนด้วยความเร็วราว 100-120 กม./ชม. หลายช่วงรถมีอาการโครงหรือรู้สึกเหมือนลอยอยู่บ้าง คาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากแรงลม ถือว่าเป็นเรื่องปกติเพราะด้วยตัวรถที่ค่อนข้างสูงจึงเกิดอาการแบบนี้ได้ เนื่องจากเมื่อขับด้วยความเร็วที่เท่าๆ กันบนถนนทั่วไป กลับไม่พบอาการดังกล่าว
จากการสอบถามผู้โดยสารทางด้านหลังที่เคยนั่งโฉมก่อนหน้าเป็นประจำได้คำตอบยืนยันว่า นุ่มขึ้นแบบแตกต่าง ภายในดูทันสมัยกว่าเดิมเยอะ กล่าวแบบสั้นๆ เข้าใจง่าย ตัวไมเนอร์เชนจ์แตกต่างเหมือนเป็นอีกรุ่นหนึ่ง และเมื่อมองมาที่ราคา รุ่นเริ่มต้นถูกลงกว่าเดิม 100,000 บาท และรุ่นท็อปสุดขยับขึ้น 40,000 บาท เทียบกับสิ่งที่ได้รับเพิ่มขึ้นมาใช้คำว่า คุ้ม ได้อย่างสบายใจ
อัตราการบริโภคน้ำมัน ช่วงแรกที่วิ่งในเมืองเราเห็นตัวเลขตามการแสดงผลบนหน้าจอราว 7-8 กม./ลิตร และเมื่อได้ขับออกนอกเมือง วิ่งบนทางด่วนแบบทางยาวๆ เป็นเวลานาน ภายใต้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด มีบางช่วงสั้นๆ ได้ลองความเร็วสูง ตัวเลขรวมสุดท้ายอยู่ระหว่าง 11-12 กม./ลิตร ยอมรับได้
เหมาะกับใคร
นิสสัน เทอร์ร่า ปรับรอบนี้ตั้งใจเจาะกลุ่มลูกค้าครอบครัว ซึ่งการตอบสนองและความรู้สึกต่างๆ ของตัวรถตรงกับโจทย์ที่นิสสันหวังคว้าใจให้ได้ และหากมองที่ออปชัน นิสสัน จัดให้หนักในหลายฟังก์ชัน และเมื่อเทียบราคากันบาทต่อบาทแล้ว เทอร์ร่า จะเด่นขึ้นมาทันทีในเรื่องของความคุ้มค่า แต่สุดท้ายขึ้นกับว่า ผู้บริโภคจะให้น้ำหนักไปในเรื่องใดมากกว่ากัน