หลังจากที่มีกระแสข่าวลือว่า โตโยต้า จะยุติการทำตลาดรถยนต์รุ่น “ซี-เอชอาร์” ในประเทศไทย ทางโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จึงทำการสยบข่าวลือดังกล่าวด้วยการเปิดตัว โตโยต้า ซี-เอชอาร์ รุ่นปรับปรุงใหม่ โดยมีการปรับไลน์อัพการขายเหลือเพียงรุ่นย่อยเดียวคือ Hybrid Premium Safety เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาด
สำหรับ ซี-เอชอาร์ รุ่นปรับออพชันจะมีอะไรเพิ่มเติม และสิ่งที่เพิ่มเข้ามานั้นมีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างไร กับราคาที่ปรับลดลงไป คุ้มค่าน่าคบหาแค่ไหน ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมข้อมูลมานำเสนอ


เติมออปชัน เพิ่มสีสร้างความต่าง
สำหรับจุดใหญ่ของการปรับโฉม ซี-เอชอาร์ รอบนี้คือ การเพิ่มทางเลือกด้วย 2 สีหลังคาใหม่ ได้แก่ หลังคาดำ Black roof หรือ หลังคาสีเงิน Silver roof และสีตัวถังภายนอกอีก 2 สีขาว Platinum White Pearl และ สีน้ำเงิน Nebula Blue ซึ่งหลังคาสีดำ มากับทางเลือกสีตัวถังสีขาว สีแดงและสีเงิน ส่วนหลังคาสีเงิน มากับตัวถังสีดำ และสีน้ำเงิน
ขณะเดียวกันมีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่เข้ามา ระบบ All-speed Dynamic Radar Cruise Control พร้อมระบบ Lane Tracing Assist ช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับซี-เอชอาร์มากขึ้น โดยระบบ All-speed Dynamic Radar Cruise Control สามารถควบคุมและปรับลดระดับความเร็วได้ถึง 0 กิโลเมตร/ชั่วโมง และออกตัวเร่งความเร็วสู่ระดับที่ตั้งไว้เมื่อไม่มีรถขวางหน้า






สำหรับรุ่นย่อยมีการปรับใหม่จากเดิม 4 รุ่นเหลือเพียงรุ่นเดียวคือ ตัวท็อป Hybrid Premium Safety จากเดิมราคา 1,159,000 บาท ปรับราคาใหม่ลงมาเหลือ 1,139,000 บาท ลดลง 20,000 บาท เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดรถเอสยูวีขนาดซับคอมแพคต์ได้ง่ายขึ้น
จุดเด่นของ ซี-เอชอาร์ ยังคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น การใช้โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมใหม่ของโตโยต้าที่รู้จักกันในชื่อ TNGA การออกแบบตัวถังยังมากับดีไซน์ที่ฉีกแนวออกไปรวมถึงการตกแต่งภายในมิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด หน้าจอความบันเทิงขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ และ Apple Carplay

หัวใจเป็นระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 เครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบ VVT-i เกียร์ E-CVT ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า มีพละกำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า อัตราการบริโภคน้ำมัน 24.4 กม./ลิตร (ข้อมูลอ้างอิงจาก ECO STICKER) ระบบไฮบริด รับประกัน 5 ปี และเฉพาะแบตเตอรี่ไฮบริด รับประกัน 10 ปี

สนุก สบาย เอาใจคนขับ
การขับขี่ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องของฟังก์ชันใหม่ที่โตโยต้า ใส่เข้ามาให้กับ ซี-เอชอาร์ ระบบ All-speed Dynamic Radar Cruise Control หรือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ที่เดิม ซี-เอชอาร์ มีอยู่แล้วแต่ไม่ครอบคลุมทุกย่านความเร็ว โดยฟังก์ชันใหม่ทำให้ผู้ขับขี่สบายขึ้นเพราะ เมื่อเปิดระบบใช้งานตัวรถสามารถชะลอความเร็วตามคันหน้าจนถึงระดับที่หยุดได้เองไม่ต้องเหยียบเบรกและออกตัวได้อัตโนมัติเช่นเดียวกัน หรือบอกง่ายๆ คือ ฟังก์ชันเดียวกับที่อยู่ในโตโยต้า โคโรลล่า อัลติสนั่นเอง
ส่วนอีกหนึ่งฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Lane Tracing Assist จะช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน ทำงานร่วมกับระบบ Lande Departure Alert ช่วยประคองรถให้อยู่ในเลนด้วยการดึงพวงมาลัยกลับมาเบาๆ ไม่แรงนัก เรียกว่า ไม่กระทบกับการเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวแต่อย่างใด

ทั้ง 3 ระบบนี้ จากการทดลองขับของเราด้วยการเปิดระบบทำงานพร้อมกัน รับรู้ได้ว่าการขับรถทางยาวๆ ออกต่างจังหวัด มีความสบายและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามระบบยังไม่ถึงขั้นที่ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ ผู้ขับขี่ยังจำเป็นต้องเอามือจับพวงมาลัยไว้ตลอดเวลา อาจจะละมือได้บ้าง แต่ระบบจะเตือน โดยหากมีการปล่อยมือหลายครั้งมากเกินกว่าที่กำหนดไว้ ระบบจะเตือนให้คุณหยุดรถ เนื่องจากประเมินว่าคุณเหนื่อยล้านั่นเอง
สำหรับจุดเด่นของการขับขี่ ซี-เอชอาร์ คือ สมรรถนะโดยรวมตอบสนองทันใจในทุกย่านความเร็ว ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ช่วงล่างเกาะหนึบมั่นใจ ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าที่คาดไว้ ความรู้สึกเป็นสไตล์ของรถสปอร์ต ซึ่งจะแตกต่างจากการขับขี่รถโตโยต้ารุ่นอื่นๆ

ส่วนการนั่งทางด้านหลังของ ซี-เอชอาร์ ผู้เขียนยอมรับตรงๆว่า ไม่สามารถนั่งได้ จะเกิดอาการเวียนศรีษะ ถ้าจะต้องมาอยู่ทางเบาะโดยสารด้านหลังคือ ต้องนอนเพียงอย่างเดียว แต่ถ้านั่งทางตำแหน่งผู้โดยสารเบาะหน้าจะไม่เป็นไรทุกอย่างปกติดี ซึ่งต้นเหตุของความรู้สึกดังกล่าวน่าจะมาจากบานกระจกขนาดเล็ก แต่บางท่านนั่งได้ ไม่เป็นอะไร
อัตราการบริโภคน้ำมันคือสิ่งที่ต้องนำเสนอ จากการขับช่วงแรกเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ระยะทางวิ่งราว 70 กม. เห็นค่าตัวเลขเฉลี่ยตามการแสดงผลบนหน้าจอที่ 16.5 กม./ลิตร ถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ถึงกับโดดเด่น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวขึ้นกับพฤติกรรมการเหยียบคันเร่งเป็นสำคัญด้วย


ส่วนการขับทางยาวๆ ออกต่างจังหวัด ขอใช้คำว่า “คือจุดเด่นที่สุด” ทั้งในเรื่องของระบบที่ให้มา ความรู้สึกในการขับขี่ และอัตราการบริโภคน้ำมัน เราขับระยะทางไกล มีทั้งขับเองและมีการเปิดใช้งานระบบควบคุมความเร็วดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ด้วยความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หน้าจอระบุ 27.9 กม./ลิตร
ซึ่งอัตราการบริโภคน้ำมันระดับกว่า 27 กม./ลิตร กับการวิ่งทางไกลเป็นหลักและพฤติกรรมการขับแบบปกติธรรมดา สลับการให้รถช่วยขับด้วย สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถของเทคโนโลยีไฮบริดของโตโยต้าที่ตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบจับต้องได้ โดยน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ระยะทางการขับแบบผสมผสานทั้งหมดกว่า 700 กม.

เหมาะกับใคร
ชื่อของซี-เอชอาร์ นั้นย่อมาจากคำว่า Coupe-Hi-Rider หรือแปลเป็นไทยว่า รถสปอร์ตแบบคูเป้ยกสูง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแม้ตัวรถจะเป็นเอสยูวีแต่ความรู้สึกในการขับขี่คล้ายกับการได้ขับรถสปอร์ต เพราะโตโยต้าตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ซี-เอชอาร์จึงเหมาะกับคนที่ชอบขับรถเอง สนุก ประหยัด ค่าตัว 1,139,000 บาท คุ้มกว่าเดิมแน่นอนเพราะออพชันเพิ่มแต่ราคาลดลง ส่วนใครที่มองหารถใช้แบบครอบครัว โตโยต้า มี “โคโรลล่า ครอส” เอาไว้รองรับสำหรับทางเลือกรักคนนั่งหลัง
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ บริษัท ชัยรัชการ (กรุงเทพ) จำกัด





สำหรับ ซี-เอชอาร์ รุ่นปรับออพชันจะมีอะไรเพิ่มเติม และสิ่งที่เพิ่มเข้ามานั้นมีผลต่อการขับขี่เป็นอย่างไร กับราคาที่ปรับลดลงไป คุ้มค่าน่าคบหาแค่ไหน ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมข้อมูลมานำเสนอ
เติมออปชัน เพิ่มสีสร้างความต่าง
สำหรับจุดใหญ่ของการปรับโฉม ซี-เอชอาร์ รอบนี้คือ การเพิ่มทางเลือกด้วย 2 สีหลังคาใหม่ ได้แก่ หลังคาดำ Black roof หรือ หลังคาสีเงิน Silver roof และสีตัวถังภายนอกอีก 2 สีขาว Platinum White Pearl และ สีน้ำเงิน Nebula Blue ซึ่งหลังคาสีดำ มากับทางเลือกสีตัวถังสีขาว สีแดงและสีเงิน ส่วนหลังคาสีเงิน มากับตัวถังสีดำ และสีน้ำเงิน
ขณะเดียวกันมีการเพิ่มฟังก์ชันใหม่เข้ามา ระบบ All-speed Dynamic Radar Cruise Control พร้อมระบบ Lane Tracing Assist ช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน ช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับซี-เอชอาร์มากขึ้น โดยระบบ All-speed Dynamic Radar Cruise Control สามารถควบคุมและปรับลดระดับความเร็วได้ถึง 0 กิโลเมตร/ชั่วโมง และออกตัวเร่งความเร็วสู่ระดับที่ตั้งไว้เมื่อไม่มีรถขวางหน้า
สำหรับรุ่นย่อยมีการปรับใหม่จากเดิม 4 รุ่นเหลือเพียงรุ่นเดียวคือ ตัวท็อป Hybrid Premium Safety จากเดิมราคา 1,159,000 บาท ปรับราคาใหม่ลงมาเหลือ 1,139,000 บาท ลดลง 20,000 บาท เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดรถเอสยูวีขนาดซับคอมแพคต์ได้ง่ายขึ้น
จุดเด่นของ ซี-เอชอาร์ ยังคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น การใช้โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมใหม่ของโตโยต้าที่รู้จักกันในชื่อ TNGA การออกแบบตัวถังยังมากับดีไซน์ที่ฉีกแนวออกไปรวมถึงการตกแต่งภายในมิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด หน้าจอความบันเทิงขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ และ Apple Carplay
หัวใจเป็นระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 เครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมระบบ VVT-i เกียร์ E-CVT ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า มีพละกำลังรวมสูงสุด 122 แรงม้า อัตราการบริโภคน้ำมัน 24.4 กม./ลิตร (ข้อมูลอ้างอิงจาก ECO STICKER) ระบบไฮบริด รับประกัน 5 ปี และเฉพาะแบตเตอรี่ไฮบริด รับประกัน 10 ปี
สนุก สบาย เอาใจคนขับ
การขับขี่ขอเริ่มต้นด้วยเรื่องของฟังก์ชันใหม่ที่โตโยต้า ใส่เข้ามาให้กับ ซี-เอชอาร์ ระบบ All-speed Dynamic Radar Cruise Control หรือระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ที่เดิม ซี-เอชอาร์ มีอยู่แล้วแต่ไม่ครอบคลุมทุกย่านความเร็ว โดยฟังก์ชันใหม่ทำให้ผู้ขับขี่สบายขึ้นเพราะ เมื่อเปิดระบบใช้งานตัวรถสามารถชะลอความเร็วตามคันหน้าจนถึงระดับที่หยุดได้เองไม่ต้องเหยียบเบรกและออกตัวได้อัตโนมัติเช่นเดียวกัน หรือบอกง่ายๆ คือ ฟังก์ชันเดียวกับที่อยู่ในโตโยต้า โคโรลล่า อัลติสนั่นเอง
ส่วนอีกหนึ่งฟังก์ชันที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Lane Tracing Assist จะช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน ทำงานร่วมกับระบบ Lande Departure Alert ช่วยประคองรถให้อยู่ในเลนด้วยการดึงพวงมาลัยกลับมาเบาๆ ไม่แรงนัก เรียกว่า ไม่กระทบกับการเปลี่ยนเลนโดยไม่เปิดไฟเลี้ยวแต่อย่างใด
ทั้ง 3 ระบบนี้ จากการทดลองขับของเราด้วยการเปิดระบบทำงานพร้อมกัน รับรู้ได้ว่าการขับรถทางยาวๆ ออกต่างจังหวัด มีความสบายและรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามระบบยังไม่ถึงขั้นที่ปล่อยมือจากพวงมาลัยได้ ผู้ขับขี่ยังจำเป็นต้องเอามือจับพวงมาลัยไว้ตลอดเวลา อาจจะละมือได้บ้าง แต่ระบบจะเตือน โดยหากมีการปล่อยมือหลายครั้งมากเกินกว่าที่กำหนดไว้ ระบบจะเตือนให้คุณหยุดรถ เนื่องจากประเมินว่าคุณเหนื่อยล้านั่นเอง
สำหรับจุดเด่นของการขับขี่ ซี-เอชอาร์ คือ สมรรถนะโดยรวมตอบสนองทันใจในทุกย่านความเร็ว ให้ความรู้สึกสนุกสนาน ช่วงล่างเกาะหนึบมั่นใจ ดูดซับแรงสะเทือนได้ดีกว่าที่คาดไว้ ความรู้สึกเป็นสไตล์ของรถสปอร์ต ซึ่งจะแตกต่างจากการขับขี่รถโตโยต้ารุ่นอื่นๆ
ส่วนการนั่งทางด้านหลังของ ซี-เอชอาร์ ผู้เขียนยอมรับตรงๆว่า ไม่สามารถนั่งได้ จะเกิดอาการเวียนศรีษะ ถ้าจะต้องมาอยู่ทางเบาะโดยสารด้านหลังคือ ต้องนอนเพียงอย่างเดียว แต่ถ้านั่งทางตำแหน่งผู้โดยสารเบาะหน้าจะไม่เป็นไรทุกอย่างปกติดี ซึ่งต้นเหตุของความรู้สึกดังกล่าวน่าจะมาจากบานกระจกขนาดเล็ก แต่บางท่านนั่งได้ ไม่เป็นอะไร
อัตราการบริโภคน้ำมันคือสิ่งที่ต้องนำเสนอ จากการขับช่วงแรกเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ระยะทางวิ่งราว 70 กม. เห็นค่าตัวเลขเฉลี่ยตามการแสดงผลบนหน้าจอที่ 16.5 กม./ลิตร ถือว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่ถึงกับโดดเด่น ซึ่งตัวเลขดังกล่าวขึ้นกับพฤติกรรมการเหยียบคันเร่งเป็นสำคัญด้วย
ส่วนการขับทางยาวๆ ออกต่างจังหวัด ขอใช้คำว่า “คือจุดเด่นที่สุด” ทั้งในเรื่องของระบบที่ให้มา ความรู้สึกในการขับขี่ และอัตราการบริโภคน้ำมัน เราขับระยะทางไกล มีทั้งขับเองและมีการเปิดใช้งานระบบควบคุมความเร็วดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ด้วยความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หน้าจอระบุ 27.9 กม./ลิตร
ซึ่งอัตราการบริโภคน้ำมันระดับกว่า 27 กม./ลิตร กับการวิ่งทางไกลเป็นหลักและพฤติกรรมการขับแบบปกติธรรมดา สลับการให้รถช่วยขับด้วย สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถของเทคโนโลยีไฮบริดของโตโยต้าที่ตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแบบจับต้องได้ โดยน้ำมันหนึ่งถังวิ่งได้ระยะทางการขับแบบผสมผสานทั้งหมดกว่า 700 กม.
เหมาะกับใคร
ชื่อของซี-เอชอาร์ นั้นย่อมาจากคำว่า Coupe-Hi-Rider หรือแปลเป็นไทยว่า รถสปอร์ตแบบคูเป้ยกสูง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจแม้ตัวรถจะเป็นเอสยูวีแต่ความรู้สึกในการขับขี่คล้ายกับการได้ขับรถสปอร์ต เพราะโตโยต้าตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น ซี-เอชอาร์จึงเหมาะกับคนที่ชอบขับรถเอง สนุก ประหยัด ค่าตัว 1,139,000 บาท คุ้มกว่าเดิมแน่นอนเพราะออพชันเพิ่มแต่ราคาลดลง ส่วนใครที่มองหารถใช้แบบครอบครัว โตโยต้า มี “โคโรลล่า ครอส” เอาไว้รองรับสำหรับทางเลือกรักคนนั่งหลัง
ขอบคุณสถานที่ถ่ายทำ บริษัท ชัยรัชการ (กรุงเทพ) จำกัด