วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) เผยกลยุทธ์การขายปี 2564 เดินหน้าเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานสู่ระบบดิจิทัล (Digital Transformation) เพื่อมอบบริการบนเครือข่ายดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบ (Digital Services) เปิดตัวศูนย์บริการลูกค้ารูปแบบใหม่ Customer Relations Center (CRC) สัมผัสการบริการแบบครบวงจรให้ความรู้สึกปลอดภัยตลอดการเดินทาง และ ยังคงให้ความสำคัญกับการยกระดับโชว์รูมบนมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) รวมถึงบริการซ่อมบำรุงระดับพรีเมียม Volvo Personal Service (VPS) สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมเปิดตัวรถยนต์พลังไฟฟ้าทั้งแบบ Plug-in Hybrid และ Pure Electric ตามแผนธุรกิจระยะ 10 ปีของวอลโว่ เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์พลังงานสะอาดระดับพรีเมียมของโลกภายในปี 2573
ตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย มียอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ 1,824 คัน โดยเป็นลูกค้าองค์กร 26% ส่วนการจำหน่ายรถยนต์มือสองภายใต้มาตรฐาน Volvo Selekt Used Cars มีอัตราลดลงเพียง 10% สำหรับรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในปีที่ผ่านมา ได้แก่รุ่น XC40 คิดเป็น 30% ของยอดจำหน่ายรวม อันดับสองคือรุ่น XC60 คิดเป็น 26% และอันดับสามคือรุ่น V60 คิดเป็น 16% โดยรุ่นที่น่าจับตามองคือรุ่น S60 ซึ่งเปิดตัวในช่วงการแพร่ระบาดอย่างหนักของโรคระบาดโควิด-19 แต่ยังสามารถจำหน่ายได้นับร้อยคันทันทีที่เปิดจอง
นายภัทรพงษ์ อชะปาละศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด สรุปการดำเนินธุรกิจของวอลโว่ ประเทศไทยในปีที่ผ่านมาว่า “วิกฤติการณ์ในปี 2563 ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก สำหรับวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย เรามีการตั้งรับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยการยกระดับช่องทางการสื่อสารออนไลน์และมาตรฐานด้านสุขอนามัยในศูนย์บริการทุกแห่งเพื่อเพิ่มความมั่นใจและความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า ซึ่งทำให้เราสามารถจำหน่ายรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดระดับพรีเมียมได้เกือบ 2,000 คัน โดยลดลงจากปี 2562 เพียง 13% เท่านั้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้บริโภครายย่อยยังคงเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของรถยนต์วอลโว่อย่างมาก”
สำหรับการดำเนินงานด้านการยกระดับคุณภาพของศูนย์บริการในปี 2563 วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย สามารถขยายเครือข่ายโชว์รูมพันธมิตรเพิ่มอีก 3 แห่ง และยังสามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานของโชว์รูมและศูนย์บริการพันธมิตรทุกสาขาให้สอดคล้องตามมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) ทุกขั้นตอน
การปรับกลยุทธ์การขายปี 2564
ภายใต้แนวคิด “Change Today for a Better Future”
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และเป็นตัวกระตุ้นหลักที่ทำให้วอลโว่เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นในด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการของโชว์รูมและศูนย์ซ่อมบำรุง ไปจนถึงระบบสนับสนุนของศูนย์บริการลูกค้า Customer Relations Center (CRC) เพื่อให้ตอบรับสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้คน ตามแนวคิด “Change Today for a Better Future”
-การเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของแบรนด์
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าสมบูรณ์แบบรุ่นแรก Volvo XC40 Recharge Pure Electric ซึ่งสร้างกระแสความตื่นตัวด้านรถยนต์พลังไฟฟ้าในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างมาก ทั้งยังจับมือเป็นพันธมิตรกับ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ระบบไฟฟ้าของเมืองไทย ซึ่งมีสถานีชาร์จไฟกว่า 1,000 จุดทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าให้เดินทางไกลได้อย่างไร้กังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จไฟ และปูทางสู่อนาคตรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ยั่งยืน
-ขยายเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย และ ยกระดับศูนย์บริการซ่อมบำรุงต่อเนื่อง
นอกจากการขับเคลื่อนโชว์รูมทุกแห่งให้สามารถมอบบริการตามมาตรฐาน Volvo Retail Experience (VRE) ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ได้เปิดตัวผู้จัดจำหน่ายรายใหม่อย่างเป็นทางการ จำนวน 3 ราย ได้แก่ 14 Auto Marque เขตจอมทอง, Newton Prestige Auto เขตตลิ่งชัน และ Phranakorn Swedish Car สาขาลาดพร้าว และอีก 1 ราย ล่าสุด GT Auto สาขาพัทยา เมื่อเร็วๆนี้ ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ยังประกาศให้ ศูนย์บริการวอลโว่ของเอ็มดับบลิว มอเตอร์วัน ผ่านการรับรองมาตรฐาน Volvo Personal Service (VPS) อย่างเป็นทางการ โดยวอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นยกระดับโชว์รูมและศูนย์บริการทุกแห่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้รับบริการบนมาตรฐานระดับโลกจากศูนย์บริการรถยนต์วอลโว่ทุกสาขาในประเทศไทย
-ศูนย์บริการลูกค้า Customer Relations Center (CRC) เพื่อมอบ Digital Services เต็มรูปแบบ
ไม่เฉพาะการอัปเกรดผลิตภัณฑ์ วอลโว่ยังยกระดับประสิทธิภาพของศูนย์บริการลูกค้า สู่การเป็นศูนย์บริการลูกค้าระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ ให้เป็นมากกว่าสายด่วนตอบข้อซักถามทั่วไป “Customer Relations Center (CRC)” ในรูปแบบศูนย์ข้อมูลกลาง และการประสานงานผ่านเครือข่ายดิจิทัล รองรับทั้งการจำหน่ายรถยนต์วอลโว่พลังงานไฟฟ้า (Pure Electric) ผ่านระบบออนไลน์แบบ Site To Store รวมถึงการทำธุรกรรมทั้งก่อนและหลังการขาย โดยมีฟีเจอร์หลักคือ การรับแจ้งเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่ง CRC จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอัจริยะในรถยนต์วอลโว่เพื่อรับสัญญาณแจ้งเหตุอัตโนมัติพร้อมข้อมูลพิกัดรถยนต์ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ CRC จึงทำหน้าที่เปรียบเหมือนผู้ช่วยดิจิทัลที่คอยดูแลลูกค้าวอลโว่ตลอดการเดินทาง
ช่องทางจำหน่ายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์วันนี้
วอลโว่เพิ่มช่องทางการขายให้มีความหลากหลายเพื่อตอบรับกับมาตรการเว้นระยะห่างของผู้คนในปัจจุบัน โดยนำเสนอทั้งช่องทาง LINE Official Account และ การสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ www.volvocars.com/th โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีบริการ Site To Store โดดเด่นด้วยฟังก์ชันที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบรถยนต์ไฟฟ้าในฝันได้โดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ หากพึงพอใจ สามารถสั่งซื้อและนัดหมายรับรถยนต์วอลโว่ที่ผู้จัดจำหน่ายสาขาใกล้บ้านได้อย่างรวดเร็ว โดย CRC จะคอยดูแลประสานงานเพื่อให้ธุรกรรมทุกขั้นตอนถูกต้อง เรียบร้อย และสะดวกรวดเร็วสำหรับลูกค้ามากที่สุด
เป้าหมายกลยุทธ์การขายในปี 2564
สถานการณ์โควิด-19 ยังคงส่อแววยืดเยื้ออีกเป็นเวลานานและจะทำให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าและการทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์เพิ่มมากขึ้น วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย จึงเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การดำเนินงานสู่ระบบดิจิทัลคือแนวทางที่ตอบโจทย์กับสถานการณ์ในปัจจุบันและจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์ในอนาคต
นอกจากนี้ รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่บริษัทฯ มีแผนจะทยอยเปิดตัวในระยะเวลาอันใกล้นี้ จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์วอลโว่ในปี 2564 ได้อย่างมีนัยสำคัญ
แผนการดำเนินงาน 10 ปีสู่อนาคตแห่งพลังงานสะอาด
วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย กำหนดเป้าหมายให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของวอลโว่ คาร์ คอร์เปอร์เรชั่น นั่นคือภายในปี 2568 นั้น 50% ของยอดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่ต้องมาจากรถยนต์พลังไฟฟ้า100% และภายในปี 2573 รถยนต์ทุกรุ่นที่วอลโว่จำหน่ายจะต้องเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้า100% เท่านั้น
“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนอย่างมาก ทำให้เราตระหนักว่า การปรับปรุงผลิตภัณฑ์เพียงด้านเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกวันนี้ กลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการทำงานสู่ระบบดิจิทัลของวอลโว่จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวของการพัฒนาครั้งสำคัญ เพื่อให้แบรนด์วอลโว่สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะเพื่อรองรับการจำหน่ายเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการมอบความสะดวกสบายและดูแลความปลอดภัยให้กับลูกค้าผู้ใช้รถยนต์วอลโว่ตลอด 24 ชั่วโมง กล่าวได้ว่าทิศทางของวอลโว่ในปีนี้คือการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและบริการบนเครือข่ายดิจิทัล เพื่อให้เราเข้าใกล้และเข้าใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น สมกับปรัชญาหลักในการทำงานของเรา People are the Core of Everything We Do” นายภัทรพงษ์ อชะปาละศิริ กล่าว