xs
xsm
sm
md
lg

Honda City Hatchback e:HEV หวดเต็มข้อ สนุก สุขทุกครั้งที่ขับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

หลังจากที่ ฮอนด้า ซิตี้ ซีรี่ส์ ปล่อยรถตระกูลซิตี้ใหม่แบบซีดานและแฮทช์แบ็ค พร้อมกับระบบขับเคลื่อนใหม่ทั้งเครื่องยนต์ 1.0 เทอร์โบ และไฮบริด 1.5 ลิตร โดยโมเดลล่าสุดที่เปิดตัวออกมาในซีรี่ส์นี้ “ซิตี้ แฮชท์แบ็ค อีเอชอีวี” (City Hatchback e:HEV) เพื่อเติมเต็มให้ครบไลน์การขาย โดยมีราคาค่าตัว 849,000 บาท


ซึ่งโมเดลนี้เป็นที่คาดหมายว่าจะออกมาทำตลาดอย่างแน่นอนหลังจากมีการเปิดตัวรุ่นแฮทช์แบ็คแบบเครื่องยนต์1.0 เทอร์โบ และซิตี้ อีเอชอีวี พร้อมกันเมื่อปีก่อน ล่าสุดหลังเปิดตัว ฮอนด้า ออโตโมบิล ได้เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมทดลองขับแบบฟรีรันครึ่งวัน ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ไปขับพร้อมนำเสนอแบบเร่งด่วน


ไฮบริด-อเนกประสงค์

ความโดดเด่นแท้จริงแทบไม่ต้องบรรยายเพิ่มเติม ดูจากยอดขายของตัว ซิตี้ แฮทช์แบ็ค ที่ทำได้ตามเป้าหมาย กระแสตอบรับในเชิงบวกค่อนข้างมาก แม้จะมีกระแสลบอยู่บ้างแต่ได้รับการแก้ไขทุกอย่างเรียบร้อย และเมื่อตัวถังที่ได้รับความนิยมมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนล้ำสมัย ทำให้ “ซิตี้ แฮชท์แบ็ค อีเอชอีวี” โดดเด่นที่สุดในเซกเมนท์นี้ทันที

หัวใจของการขับเคลื่อนคือ ระบบไฮบริดที่เป็นการทำงานร่วมกันของ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตรแบบ Atkinson Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC กำลังสูงสุด 98 แรงม้า และ มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 109 แรงม้า โดยมีลักษณะของการทำงานแบบไฮบริดผสมผสาน (Integrated Hybrid) คือ ทำงานได้ทั้งแบบอนุกรม (Series) และแบบขนาน (Parallel) รวมถึงขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ล้วนได้อีกด้วย




สำหรับแรงบิดสูงสุดของเครื่องยนต์อยู่ที่ 127 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 253 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT ซึ่งคราวนี้ ฮอนด้าเลือกที่จะนำเสนอข้อมูลทางเทคนิคแบบแยกส่วนชัดเจน ไม่มีการนำตัวเลขมารวมกัน เพราะลักษณะการทำงานของระบบไฮบริดมีทั้งการแยกส่วนชัดเจนและการผสานร่วมกันในหลากหลายจังหวะ

จุดใหญ่ใจความของหลักการทำงานระบบไฮบริดคือ ปริมาณไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่จะเป็นตัวกำหนดว่าจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์หรือเครื่องยนต์ โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ 2 อย่างคือ ขับเคลื่อนและปั่นกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บที่แบตเตอรี่ ซึ่งจะมีมอเตอร์เจเนอเรเตอร์อีกหนึ่งตัวทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟ แยกจากมอเตอร์ที่ใช้ขับเคลื่อน

เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า วางเต็มดูเรียบร้อยดี
เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำถึงปานกลาง ระบบจะเลือกใช้มอเตอร์ในการขับเคลื่อนเป็นส่วนมาก และหากเป็นการขับด้วยความเร็วสูง จะเปลี่ยนมาใช้การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ อันเนื่องมาจากแนวคิดว่า ถ้านำกำลังของเครื่องยนต์ไปปั่นกระแสไฟเพียงอย่างเดียว(ไฮบริดแบบอนุกรม) จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าการใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน ส่วนถ้ามีการเร่งแซงต้องการกำลังสูงทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์จะทำงานพร้อมกัน (ไฮบริดแบบขนาน) ในการปั่นเพลา

ผลลัพธ์ที่ได้จากการวางระบบเช่นนี้คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ได้ทั้งอัตราเร่งที่ดีและประหยัดเชื้อเพลิง และด้วยลักษณะของตัวถังที่เป็นแบบ 5 ประตูขนาดกว้างขวางทำให้สามารถวางแบตเตอรี่ซ่อนในช่องว่างระหว่างล้อทางด้านหลังได้อย่างไม่เสียพื้นที่ใช้สอย

แบตเตอรี่ถูกวางซ่อนไว้ทางด้านหลังอย่างไม่เสียพื้นที่ใช้สอย
ส่วนระบบความปลอดภัยใส่ Honda Sensing เต็มสุดของรถในคลาสนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเตือนการชนพร้อมช่วยเบรก (CMBS), ระบบควบคุมรถให้อยู่ในทาง (LKAS), ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อออกนอกช่องทางเดินรถ(RDM with LDW) และระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน (ACC)

ภายในห้องโดยสาร ไม่ต่างจากรุ่นปกติมากนัก

หน้าปัดจะไม่มีวัดรอบ แต่จะแสดงพลังในการใช้หรือการชาร์จไฟกลับ

เบาะนั่งสีดำสลับแดง

เบาะนั่งทางด้านหลัง มีที่ท้าวแขนกลาง

หน้าปัดเป็นการผสมระหว่างจอแบบดิจิทัลและเข็มไมล์แบบดั้งเดิม

จอกลางขนาดใหญ่

ฟังก์ชันต่างๆ ใส่มาให้ครบ แช่น Auto brake hold , แอร์อัตโนมัติ และช่องเสียบ USB

Paddle Shift มีไว้สำหรับปรับน้ำหนักการหน่วงของระบบ Regenerative Braking มิใช่การปรับเปลี่ยนเกียร์

เบาะปรับได้อย่างหลากหลายรูปแบบ พื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง

กล้องทางด้านหน้า และกล้องทางด้านกระจกซ้าย จะแสดงภาพที่หน้าจอหลัก
สนุก แรง ประหยัด

ออกตัวก่อนเลยว่า เราตั้งธงคาดหวังความรู้สึกในการขับซิตี้ แฮชท์แบ็ค อีเอชอีวี เอาไว้ค่อนข้างสูง เพราะความประทับใจจากการขับรุ่น ซีดาน อีเอชอีวี ที่ทำได้ดี เน้นไปทางแรงและนุ่มนวล ซึ่งเมื่อระบบไฮบริดชุดดังกล่าวมาอยู่ในตัวถังแบบแฮทช์แบ็คที่มีขนาดใหญ่กว่า น้ำหนักเยอะกว่า ฉะนั้นควรที่จะทำได้ดีกว่า ทว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไรติดตามได้


การขับขี่เริ่มต้นจากร้านกาแฟย่านสุวรรณภูมิ จุดหมายปลายทางของเราคือ สนามหลวง เพื่อจำลองการขับในลักษณะที่เหมือนการใช้งานจริงมากที่สุด แต่ก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าเมือง เราแอบแวะไปสถานที่ปิดเพื่อลองหาอัตราเร่งและการขับด้วยความเร็วสูง

ผลลัพธ์คือ อัตราเร่งแรงติดเท้าดี อาจจะไม่ได้พุ่งมาก แต่ตอบสนองดีกว่ารุ่นเครื่องยนต์ 1.0 เทอร์โบอย่างชัดเจน การขับที่ความเร็วสูง ยังสามารถคิกดาวน์เรียกกำลังออกมาได้อีก และการทรงตัวค่อนข้างนิ่ง มั่นใจในการขับ พวงมาลัยหนักมือ ไม่มีอาการวอกแวก โดยเฉพาะช่วงลอยตัว ยังให้ความรู้สึกเกาะถนนไม่ต่างจากการขับด้วยความเร็วระดับ100 กม./ชม. อาจจะมีสิ่งที่รบกวนใจเพียงอย่างเดียวคือ เสียงคำรามของเครื่องยนต์เมื่อกดคันเร่งแบบมิดเท้า


ในแง่ของลักษณะการทำงานของระบบไฮบริด จะเป็นการสลับระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ โดยมีจุดตัดสำคัญคือ ที่ความเร็วต่ำกว่า 60 กม./ชม. การทำงานส่วนใหญ่จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า และหากขับเร็วเกิน 80 กม./ชม. ขึ้นไป ด้วยความเร็วคงที่ เครื่องยนต์จะทำงานเป็นหลัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับและปริมาณไฟฟ้าที่เหลือในแบตเตอรี่

เมื่อหายคาใจเรื่องการขับด้วยความเร็วสูง เรามุ่งหน้าเข้าใช้งานในเมือง ความคล่องตัวคือจุดเด่นที่สุด พวงมาลัยเบามือควบคุมง่ายเหมาะมากกับการวิ่งด้วยความเร็วต่ำหรือเลี้ยวเข้าซอยต่างๆ พร้อมเสริมความปลอดภัยด้วยระบบกล้องทางด้านซ้าย เมื่อเปิดไฟเลี้ยวซ้ายจะมีภาพมาขึ้นที่หน้าจอกลาง ช่วงป้องกันอุบัติเหตุได้ดี


การดูดซับแรงสะเทือนเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่ ซิตี้ แฮชท์แบ็ค อีเอชอีวี ทำได้ประทับใจเรา แม้ตัวรถขับด้วยความเร็วสูงจะมั่นคง ซึ่งโดยปรกติเมื่อขับช้าจะค่อนข้างสะท้อนสภาพผิวถนนชัด แต่ ซิตี้ แฮชท์แบ็ค อีเอชอีวี กลับสะเทือนน้อยกว่าที่คาดเอาไว้ และเมื่อหันไปเทียบคู่แข่งในตลาดขอใช้คำว่า นี่คือความลงตัวของระบบช่วงล่างที่เราประทับใจที่สุด

ความเงียบในห้องโดยสารคือจุดเด่นอีกประการหนึ่ง เมื่อใช้งานในเมืองเสียงเครื่องยนต์ดังรบกวนน้อยมาก (เว้นแต่กดคันเร่งแบบเต็มเท้า) เพราะการขับขี่ส่วนใหญ่จะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเงื่อนไขแบบนี้ทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากวิ่งในเมืองจะประหยัดกว่าการวิ่งออกนอกเมือง ตรงตามที่ระบุไว้ในมาตรฐานของอีโคสติกเกอร์ที่ตัวเลข การใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 40 กม./ลิตร สำหรับวิ่งในเมือง และ 23.2 กม./ลิตร เมื่อวิ่งนอกเมือง


ส่วนตัวเลขการใช้เชื้อเพลิงจริงตามแบบฉบับหวดเต็มข้อพร้อมขับชิลในเมือง ช่วง 50 กม.แรก เห็นตัวเลข 16.9 กม./ลิตร และเมื่อรวมการขับทั้งหมดที่ได้ระยะทางทั้งสิ้น 100 กม. ตัวเลขสุดท้ายคือ 16.2 กม./ลิตร โดยขากลับต้องผ่านจุดวิกฤตรถติดหนักจากเหตุโรงงานโฟมระเบิดเสียเวลาไปร่วมครึ่งชั่วโมง ตัวเลขนี้ถือว่า ประทับใจ


เหมาะกับใคร

ภาพรวม ซิตี้ แฮชท์แบ็ค อีเอชอีวี ทำได้ดีเกินกว่าที่เราคาดหวังเอาไว้ เมื่อมองบนพื้นฐานของเทคโนโลยีและความรู้สึกในการขับขี่ เราขอใช้คำว่า Best in class อย่างไม่ลังเล ได้ทั้งความสนุก ความแรง และความประหยัดพร้อมอรรถประโยชน์ใช้สอยอย่างครบถ้วน แน่นอนว่าด้วยราคา 849,000 บาท เทียบกับรถในคลาสอีโคคาร์และบีเซกเมนท์ แน่นอนว่าดูแพงกว่า แต่ถ้ามองจากมุมของระบบไฮบริดและระบบความปลอดภัย คุณจะเจอในรถราคาเป็นล้านเท่านั้น










กำลังโหลดความคิดเห็น