แบรนด์ “ซูบารุ” ทำตลาดในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ผ่านการเปลี่ยนมือ เปลี่ยนผู้บริหารมาหลายครั้งหลายคน จนกระทั่งล่าสุด อยู่ภายใต้การดูแลของ ตันจง กรุ๊ป ที่ลงหลักปักฐานสำคัญด้วยการตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ซูบารุแห่งแรกของกลุ่มตันจงขึ้นในประเทศไทย พร้อมกับการประกอบรถยนต์ ฟอร์เรสเตอร์ เป็นรุ่นแรก
นอกจากการทำตลาดด้วยรถประกอบในประเทศแล้ว ซูบารุ ยังคงทำตลาดด้วยรถแบบนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งมีความเสียเปรียบในด้านของราคาที่สูงเนื่องจากโดนภาษีนำเข้า แต่ด้วยคุณภาพและความแตกต่างในแง่ของผลิตภัณฑ์ทำให้ยังมีกลุ่มลูกค้าชื่นชอบตรงจุดนี้เป็นเป้าหมาย โดยรถรุ่นล่าสุดที่นำเข้ามาทำตลาดคือ ซูบารุ เอาท์แบ็ค มาชมกันว่าการทดลองขับครั้งแรกของเรากับโมเดลนี้เป็นอย่างไรบ้าง
Boxter - ขับสี่ – eyesight
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เอาท์แบ็ค นั้นคือโมเดลที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น เลกาซี่ แวกอน ด้วยการนำมายกให้สูงขึ้น จึงกลายเป็นรถแบบ ครอสโอเวอร์ อเนกประสงค์กึ่งลุยกึ่งทางเรียบ โดยเอาท์แบ็คได้รับความนิยมสูงมากในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ชื่นชอบรถประเภทนี้
โครงสร้างตัวถังพัฒนาบน ซูบารุ โกลบอล แพลตฟอร์ม แข็งแกร่งขึ้น มีความยาวถึง 4.87 เมตร เกือบเท่ารถปิกอัพในบ้านเราฉะนั้นในแง่ของพื้นที่ใช้สอยจึงมีอย่างเหลือเฟือ โดยการออกแบบเพิ่มในส่วนของชุดแต่งให้ดูดุดันแบบออฟโรด และติดตั้งราวหลังคา ที่สามารถปรับรูปแบบอย่างง่ายดาย ทั้งแนวเดียวกับตัวรถและแนวขวางสะดวกในการบรรทุกของบนหลังคา
เครื่องยนต์เป็นแบบ 4 สูบนอน (Boxter) ขนาด 2.5 ลิตร แม้จะเป็นบล็อกเดิม แต่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนมากถึง 90% โดยมีการปรับเปลี่ยนระบบการฉีดเป็นแบบฉีดตรง กำลังสูงสุด 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที Lineartornic 8 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบสมมาตร (SAWD) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.6 วินาที ความเร็วสูงสุดเคลมไว้ที่ 206 กม./ชม.
เอาท์แบ็ค ได้รับการติดตั้ง Eyesight เวอร์ชัน 4 ใหม่ล่าสุด นับว่าเป็นเทคโนโลยีเสริมความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้ อัพเกรดรัศมีของกล้องคู่หน้ากว้างขึ้น 2 เท่า โดยมีระบบการทำงานเช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันตามคันหน้าพร้อมระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบเบรกอัตโนมัติพร้อมบังคับพวงมาลัยฉุกเฉิน, ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลนและบังคับกลับมาอยู่ในเลน เป็นต้น
อุปกรณ์การตกแต่งภายใน เบาะนั่งเป็นหนัง Napa คุณภาพสูงทั้งคัน ส่วนคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า หน้าจอแสดงผลใหม่กลางคอนโซลขนาด 11.6 นิ้ว ใช้งานง่ายเหมือนการเล่นไอแพด โดยมีระบบสังเกตคนขับ(DMS) สามารถจดจำใบหน้าและเตือนความปลอดภัยได้ ระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon และฝาท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี
สำหรับฟังก์ชันและอุปกรณ์เสริมใหม่ที่ติดตั้งในเอาท์แบ็คเป็นครั้งแรก กล้องสเตอริโอรุ่นใหม่, หม้อลมเบรกไฟฟ้า, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง, ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง และไฟหน้าปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ
โค้งหนึบ แรงกำลังดี
การทดลองขับของเราเน้นไปที่การใช้งานในชีวิตประจำวันเฉกเช่นผู้ที่ซื้อรถทั่วไป มีทั้งการเดินทางในเมืองและการขับไปต่างจังหวัด พร้อมกับทดสอบระบบต่างๆ ที่ให้มา เพื่อดูว่าจะตอบสนองเป็นอย่างไร ใช้งานได้ในประเทศไทยหรือไม่ เพราะบางฟังก์ชันไม่สามารถใช้ได้ด้วยเงื่อนไขบางประการ
เริ่มต้นกันที่การขับแบบในเมืองก่อน ด้วยขนาดของตัวรถที่ยาวเกือบ 5 เมตร กลับไม่มีปัญหาในเรื่องของความคล่องตัวในการขับขี่หรือการเลี้ยวแต่อย่างใด ทัศนวิสัยดี พวงมาลัยเบามือ เลี้ยวง่าย ระบบเตือนต่างๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นระบบเตือนมุมอับรถที่อยู่ด้านข้าง และระบบเตือนช่วยออกตัวเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัวออกไป ใช้งานได้ดีและช่วยในการขับขี่ให้มั่นใจว่าปลอดภัย
ส่วนสิ่งที่น่าห่วงยังมีอยู่ เพราะเหรียญมีสองด้านเสมอ แม้ว่ารถจะฉลาดเพียงใด แต่ย่อมต้องมีจุดที่ผิดพลาด เช่น ระบบช่วยเบรกหยุดรถฉุกเฉิน ตามทฤษฏีและการทดลองการทำงานของระบบ ถือว่าดีมากระบบช่วยเบรกให้อย่างหนักหน่วงป้องกันอุบัติเหตุได้จริง
แต่ในการใช้งานจริง บางครั้ง ระบบจะเบรกให้เองโดยไม่จำเป็น เช่น การเลี้ยวผ่านโค้งที่มีกระถางต้นไม้วางไว้ ซึ่งผู้ขับสามารถมองเห็นว่าเลี้ยวพ้นแน่นอน แต่ระบบตรวจจับได้ว่ามีวัตถุ จึงทำการเบรกฉุกเฉินให้โดยไม่คาดคิด ผลลัพธ์คือ ทุกคนในรถหัวทิ่มหมด และสิ่งที่น่าห่วงคือ หากมีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์คันอื่นตามมา อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
สำหรับการขับออกต่างจังหวัด มีทั้งเส้นทางเรียบตามถนนหลวงและเส้นทางลุยทุ่งแบบถนนลูกรัง เอาท์แบ็ค คือรถที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกเส้นทาง ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และการยกสูงในระดับพอเหมาะ ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะทางชนบทพื้นผิวขรุขระ ยังสามารถขับด้วยความมั่นใจจากการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม
การเก็บเสียง ถือว่าทำได้ประทับใจอาจจะยังไม่เทียบเท่ารถยุโรป แต่เงียบกว่ารถญี่ปุ่นในระดับเดียวกัน เสียงลมดังเมื่อขับเกิน 120 กม./ชม. ส่วนเสียงยางบดถนนนั้นได้ยินตามสภาพพื้นผิว แต่หากเปิดเพลง ปัญหาเสียงรบกวนทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขอย่างดีงามด้วยคุณภาพของชุดเครื่องเสียง Harman Kardon
อัตราเร่งและจังหวะเร่งแซงเป็นหัวข้อที่สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนอย่างมาก ด้วยความพอดีของพละกำลังและการส่งกำลังจากเกียร์ที่ไม่มีการกระชาก แต่สามารถเร่งได้อย่างเรียบเนียน ความเร็วค่อยพุ่งขึ้นอย่างเหมาะสมสำหรับการเร่งแซง เรียกว่าผู้โดยสารจะได้รับความสบายไม่ต้องกังวลเรื่องของการเวียนหัวหรือคลื่นใส้แม้ผู้ขับจะกดคันเร่งคิกดาวน์บ่อยครั้ง
การขับด้วยความเร็วสูงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เอาท์แบ็คสร้างความประทับใจ ด้วยการทรงตัวดีเยี่ยมความเร็วกว่า 180 กม./ชม. เราลองในพื้นที่ปิด ตัวรถนิ่ง เกาะถนนหนึบ ไม่รู้สึกว่ามีการลอยตัวแต่อย่างใด ส่วนการดูดซับแรงสะเทือนจะยังไม่เท่ากับรถระดับยุโรป แต่ในแง่ของความสนุกและภาพรวมการขับขี่แล้วถือว่าเด่นคนละจุด
เหนือสิ่งอื่นใด การวิ่งทางยาวเราได้ทดลองระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ที่มาพร้อมระบบบังคับรถให้อยู่ในเลน สามารถใช้งานได้สบายจริง ความเร็วเพิ่ม-ลดและเลี้ยวได้ตามคันหน้า เพียงแค่เราต้องจับพวงมาลัยไว้ตลอดเพื่อความปลอดภัย ปล่อยได้บ้างแต่ระบบจะเตือนหากไม่จับโดยหากผู้ขับยังไม่จับระบบจะชะลอและหยุดรถให้โดยอัตโนมัติ
สิ่งที่เราชอบที่สุดของ เอาท์แบ็ค คือ ระบบเตือนความเร็วเมื่อมีกล้องตรวจจับความเร็ว เราพบโดยบังเอิญ เมื่อจะขับผ่านจุดที่มีกล้องด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด รถจะส่งเสียงเตือน(แตกต่างจากเสียงเตือนอื่นๆ) ก่อนที่จะถึงจุดติดตั้งกล้องราว 200-300 เมตร หมายความว่า คุณจะไม่โดนใบสั่งส่งมาที่บ้านหากคุณเชื่อเสียงเตือนแล้วชะลอความเร็วทันที เราได้ลองการทำงานนี้ถืง 6 รอบ พบว่ามีเสียงเตือนทุกรอบ
สำหรับระบบนี้ได้รับคำยืนยันจากจนท.ซูบารุว่ามีระบบดังกล่าวใช้งานได้ในต่างประเทศ แต่ไม่แน่ใจว่าใช้ได้ในประเทศไทยหรือไม่ โดยระบบจะตรวจจับกล้องและชะลอความเร็วให้โดยอัตโนมัติ ส่วนการลองของเราไม่มีการชะลอให้โดยอัตโนมัติ มีเพียงเสียงเตือนเท่านั้น
ทุกอย่างมีราคาที่ต้องแลกเช่นเดียวกับ เอาท์แบ็ค เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ ทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยจากการขับกว่า 600 กม. ทั้งในเมืองและนอกเมืองอยู่ที่ 10.8 กม./ลิตร เรียกว่ากินจุกว่ารถญี่ปุ่นในระดับเดียวกันพอสมควร รวมถึงราคาค่าตัวที่สูงกว่าเนื่องจากการเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น
เหมาะกับใคร
ซูบารุ เอาท์แบ็ค เรียกว่าเป็นรถอเนกประสงค์หนึ่งเดียวในตลาดไทยที่มี ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, เครื่องยนต์บ็อกเซอร์, ระบบeyesight ที่ถือว่าเป็นระบบความปลอดภัยล้ำสมัยที่สุดเวลานี้ ซึ่งคุณไม่สามารถหาจากรถคันใดได้ด้วยราคาค่าตัว 2,799,000 บาท ดังนั้น เอาท์แบ็ค คือตัวเลือกของคนชอบรถสมรรถนะสูง
หมายเหตุ - ราคา 2,699,000 บาท เป็นราคาจำหน่ายช่วงแนะนำตอนเปิดตัวเท่านั้น ปัจจุบันมีการปรับขึ้นมาอีก 100,000 บาท
นอกจากการทำตลาดด้วยรถประกอบในประเทศแล้ว ซูบารุ ยังคงทำตลาดด้วยรถแบบนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งมีความเสียเปรียบในด้านของราคาที่สูงเนื่องจากโดนภาษีนำเข้า แต่ด้วยคุณภาพและความแตกต่างในแง่ของผลิตภัณฑ์ทำให้ยังมีกลุ่มลูกค้าชื่นชอบตรงจุดนี้เป็นเป้าหมาย โดยรถรุ่นล่าสุดที่นำเข้ามาทำตลาดคือ ซูบารุ เอาท์แบ็ค มาชมกันว่าการทดลองขับครั้งแรกของเรากับโมเดลนี้เป็นอย่างไรบ้าง
Boxter - ขับสี่ – eyesight
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เอาท์แบ็ค นั้นคือโมเดลที่พัฒนาต่อยอดมาจากรุ่น เลกาซี่ แวกอน ด้วยการนำมายกให้สูงขึ้น จึงกลายเป็นรถแบบ ครอสโอเวอร์ อเนกประสงค์กึ่งลุยกึ่งทางเรียบ โดยเอาท์แบ็คได้รับความนิยมสูงมากในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ชื่นชอบรถประเภทนี้
โครงสร้างตัวถังพัฒนาบน ซูบารุ โกลบอล แพลตฟอร์ม แข็งแกร่งขึ้น มีความยาวถึง 4.87 เมตร เกือบเท่ารถปิกอัพในบ้านเราฉะนั้นในแง่ของพื้นที่ใช้สอยจึงมีอย่างเหลือเฟือ โดยการออกแบบเพิ่มในส่วนของชุดแต่งให้ดูดุดันแบบออฟโรด และติดตั้งราวหลังคา ที่สามารถปรับรูปแบบอย่างง่ายดาย ทั้งแนวเดียวกับตัวรถและแนวขวางสะดวกในการบรรทุกของบนหลังคา
เครื่องยนต์เป็นแบบ 4 สูบนอน (Boxter) ขนาด 2.5 ลิตร แม้จะเป็นบล็อกเดิม แต่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนมากถึง 90% โดยมีการปรับเปลี่ยนระบบการฉีดเป็นแบบฉีดตรง กำลังสูงสุด 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที Lineartornic 8 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบสมมาตร (SAWD) อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 9.6 วินาที ความเร็วสูงสุดเคลมไว้ที่ 206 กม./ชม.
เอาท์แบ็ค ได้รับการติดตั้ง Eyesight เวอร์ชัน 4 ใหม่ล่าสุด นับว่าเป็นเทคโนโลยีเสริมความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้ อัพเกรดรัศมีของกล้องคู่หน้ากว้างขึ้น 2 เท่า โดยมีระบบการทำงานเช่น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแปรผันตามคันหน้าพร้อมระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบเบรกอัตโนมัติพร้อมบังคับพวงมาลัยฉุกเฉิน, ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลนและบังคับกลับมาอยู่ในเลน เป็นต้น
อุปกรณ์การตกแต่งภายใน เบาะนั่งเป็นหนัง Napa คุณภาพสูงทั้งคัน ส่วนคู่หน้าปรับด้วยไฟฟ้า หน้าจอแสดงผลใหม่กลางคอนโซลขนาด 11.6 นิ้ว ใช้งานง่ายเหมือนการเล่นไอแพด โดยมีระบบสังเกตคนขับ(DMS) สามารถจดจำใบหน้าและเตือนความปลอดภัยได้ ระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon และฝาท้ายไฟฟ้าแบบแฮนด์ฟรี
สำหรับฟังก์ชันและอุปกรณ์เสริมใหม่ที่ติดตั้งในเอาท์แบ็คเป็นครั้งแรก กล้องสเตอริโอรุ่นใหม่, หม้อลมเบรกไฟฟ้า, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติเมื่อถอยหลัง, ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง และไฟหน้าปรับสูง-ต่ำอัตโนมัติ
โค้งหนึบ แรงกำลังดี
การทดลองขับของเราเน้นไปที่การใช้งานในชีวิตประจำวันเฉกเช่นผู้ที่ซื้อรถทั่วไป มีทั้งการเดินทางในเมืองและการขับไปต่างจังหวัด พร้อมกับทดสอบระบบต่างๆ ที่ให้มา เพื่อดูว่าจะตอบสนองเป็นอย่างไร ใช้งานได้ในประเทศไทยหรือไม่ เพราะบางฟังก์ชันไม่สามารถใช้ได้ด้วยเงื่อนไขบางประการ
เริ่มต้นกันที่การขับแบบในเมืองก่อน ด้วยขนาดของตัวรถที่ยาวเกือบ 5 เมตร กลับไม่มีปัญหาในเรื่องของความคล่องตัวในการขับขี่หรือการเลี้ยวแต่อย่างใด ทัศนวิสัยดี พวงมาลัยเบามือ เลี้ยวง่าย ระบบเตือนต่างๆ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่นระบบเตือนมุมอับรถที่อยู่ด้านข้าง และระบบเตือนช่วยออกตัวเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัวออกไป ใช้งานได้ดีและช่วยในการขับขี่ให้มั่นใจว่าปลอดภัย
ส่วนสิ่งที่น่าห่วงยังมีอยู่ เพราะเหรียญมีสองด้านเสมอ แม้ว่ารถจะฉลาดเพียงใด แต่ย่อมต้องมีจุดที่ผิดพลาด เช่น ระบบช่วยเบรกหยุดรถฉุกเฉิน ตามทฤษฏีและการทดลองการทำงานของระบบ ถือว่าดีมากระบบช่วยเบรกให้อย่างหนักหน่วงป้องกันอุบัติเหตุได้จริง
แต่ในการใช้งานจริง บางครั้ง ระบบจะเบรกให้เองโดยไม่จำเป็น เช่น การเลี้ยวผ่านโค้งที่มีกระถางต้นไม้วางไว้ ซึ่งผู้ขับสามารถมองเห็นว่าเลี้ยวพ้นแน่นอน แต่ระบบตรวจจับได้ว่ามีวัตถุ จึงทำการเบรกฉุกเฉินให้โดยไม่คาดคิด ผลลัพธ์คือ ทุกคนในรถหัวทิ่มหมด และสิ่งที่น่าห่วงคือ หากมีรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์คันอื่นตามมา อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
สำหรับการขับออกต่างจังหวัด มีทั้งเส้นทางเรียบตามถนนหลวงและเส้นทางลุยทุ่งแบบถนนลูกรัง เอาท์แบ็ค คือรถที่ตอบโจทย์ได้ครบทุกเส้นทาง ด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และการยกสูงในระดับพอเหมาะ ทำให้การขับขี่เป็นไปอย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะทางชนบทพื้นผิวขรุขระ ยังสามารถขับด้วยความมั่นใจจากการเกาะถนนที่ดีเยี่ยม
การเก็บเสียง ถือว่าทำได้ประทับใจอาจจะยังไม่เทียบเท่ารถยุโรป แต่เงียบกว่ารถญี่ปุ่นในระดับเดียวกัน เสียงลมดังเมื่อขับเกิน 120 กม./ชม. ส่วนเสียงยางบดถนนนั้นได้ยินตามสภาพพื้นผิว แต่หากเปิดเพลง ปัญหาเสียงรบกวนทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขอย่างดีงามด้วยคุณภาพของชุดเครื่องเสียง Harman Kardon
อัตราเร่งและจังหวะเร่งแซงเป็นหัวข้อที่สร้างความประทับใจให้ผู้เขียนอย่างมาก ด้วยความพอดีของพละกำลังและการส่งกำลังจากเกียร์ที่ไม่มีการกระชาก แต่สามารถเร่งได้อย่างเรียบเนียน ความเร็วค่อยพุ่งขึ้นอย่างเหมาะสมสำหรับการเร่งแซง เรียกว่าผู้โดยสารจะได้รับความสบายไม่ต้องกังวลเรื่องของการเวียนหัวหรือคลื่นใส้แม้ผู้ขับจะกดคันเร่งคิกดาวน์บ่อยครั้ง
การขับด้วยความเร็วสูงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เอาท์แบ็คสร้างความประทับใจ ด้วยการทรงตัวดีเยี่ยมความเร็วกว่า 180 กม./ชม. เราลองในพื้นที่ปิด ตัวรถนิ่ง เกาะถนนหนึบ ไม่รู้สึกว่ามีการลอยตัวแต่อย่างใด ส่วนการดูดซับแรงสะเทือนจะยังไม่เท่ากับรถระดับยุโรป แต่ในแง่ของความสนุกและภาพรวมการขับขี่แล้วถือว่าเด่นคนละจุด
เหนือสิ่งอื่นใด การวิ่งทางยาวเราได้ทดลองระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ที่มาพร้อมระบบบังคับรถให้อยู่ในเลน สามารถใช้งานได้สบายจริง ความเร็วเพิ่ม-ลดและเลี้ยวได้ตามคันหน้า เพียงแค่เราต้องจับพวงมาลัยไว้ตลอดเพื่อความปลอดภัย ปล่อยได้บ้างแต่ระบบจะเตือนหากไม่จับโดยหากผู้ขับยังไม่จับระบบจะชะลอและหยุดรถให้โดยอัตโนมัติ
สิ่งที่เราชอบที่สุดของ เอาท์แบ็ค คือ ระบบเตือนความเร็วเมื่อมีกล้องตรวจจับความเร็ว เราพบโดยบังเอิญ เมื่อจะขับผ่านจุดที่มีกล้องด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด รถจะส่งเสียงเตือน(แตกต่างจากเสียงเตือนอื่นๆ) ก่อนที่จะถึงจุดติดตั้งกล้องราว 200-300 เมตร หมายความว่า คุณจะไม่โดนใบสั่งส่งมาที่บ้านหากคุณเชื่อเสียงเตือนแล้วชะลอความเร็วทันที เราได้ลองการทำงานนี้ถืง 6 รอบ พบว่ามีเสียงเตือนทุกรอบ
สำหรับระบบนี้ได้รับคำยืนยันจากจนท.ซูบารุว่ามีระบบดังกล่าวใช้งานได้ในต่างประเทศ แต่ไม่แน่ใจว่าใช้ได้ในประเทศไทยหรือไม่ โดยระบบจะตรวจจับกล้องและชะลอความเร็วให้โดยอัตโนมัติ ส่วนการลองของเราไม่มีการชะลอให้โดยอัตโนมัติ มีเพียงเสียงเตือนเท่านั้น
ทุกอย่างมีราคาที่ต้องแลกเช่นเดียวกับ เอาท์แบ็ค เพื่อสมรรถนะการขับขี่ที่ดีด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อและเครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ ทำให้อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยจากการขับกว่า 600 กม. ทั้งในเมืองและนอกเมืองอยู่ที่ 10.8 กม./ลิตร เรียกว่ากินจุกว่ารถญี่ปุ่นในระดับเดียวกันพอสมควร รวมถึงราคาค่าตัวที่สูงกว่าเนื่องจากการเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคันจากประเทศญี่ปุ่น
เหมาะกับใคร
ซูบารุ เอาท์แบ็ค เรียกว่าเป็นรถอเนกประสงค์หนึ่งเดียวในตลาดไทยที่มี ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, เครื่องยนต์บ็อกเซอร์, ระบบeyesight ที่ถือว่าเป็นระบบความปลอดภัยล้ำสมัยที่สุดเวลานี้ ซึ่งคุณไม่สามารถหาจากรถคันใดได้ด้วยราคาค่าตัว 2,799,000 บาท ดังนั้น เอาท์แบ็ค คือตัวเลือกของคนชอบรถสมรรถนะสูง
หมายเหตุ - ราคา 2,699,000 บาท เป็นราคาจำหน่ายช่วงแนะนำตอนเปิดตัวเท่านั้น ปัจจุบันมีการปรับขึ้นมาอีก 100,000 บาท