บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประกาศความพร้อมเปิดตัว “บีเอ็มดับเบิลยู iX” รถยนต์ไฟฟ้าระดับเรือธงใหม่ล่าสุด ชูจุดเด่นการขับขี่ปลอดมลพิษ คงไว้ซึ่งความสปอร์ต วิ่งได้ไกลสุด 630 กม. พร้อมอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่ เตรียมลงถนนพฤศจิกายนนี้
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นในการสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ให้สมบูรณ์แบบที่สุด โดยเลือกเปิดตัว “บีเอ็มดับเบิลยู iX“ รถเรือธงรุ่นใหญ่สุด ภายใต้รูปแบบรถยนต์อเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle (SAV) เพื่อปูรากฐานสู่นวัตกรรมแห่งอนาคตทั้ง การขับขี่อัตโนมัติ การเชื่อมต่อ และบริการด้านดิจิทัลต่าง ๆ
บีเอ็มดับเบิลยู iX จะเปิดตัวสู่ตลาดเป็นครั้งแรกด้วยสองรุ่นย่อย มาพร้อมระบบการขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า เริ่มด้วย บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 กำลังสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 4.6 วินาที วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 630 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP แบตเตอรี่มีความจุ 105.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ความจุพลังงานรวม 111.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง) อัตราการใช้ไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 23.0 – 19.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 0 กรัม/กม.
ส่วนอีกหนึ่งรุ่นคือ บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 6.1 วินาที วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 425 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP แบตเตอรี่มีความจุ 71 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ความจุพลังงานรวม 76.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง) อัตราการใช้ไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 22.5 – 19.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 0 กรัม/กม.
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังเตรียมเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX M60 มาร่วมไลน์อัพ พลังสูงสุด 600 แรงม้า อัตราการใช้ไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 21.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 0 กรัม/กม. (ข้อมูลการส่งกำลังของมอเตอร์และอัตราการใช้ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู iX M60 เป็นการคาดการณ์โดยใช้ข้อมูลของรถยนต์ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา)
โครงสร้างตัวถังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบ spaceframe หลังคาเป็นโครงสร้าง Carbon Cage ประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านข้างและด้านหลัง ผสานการใช้วัสดุสองประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักให้เบาลง ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ที่ต่ำเพียง 0.25
แบตเตอรี่แรงดันสูงใช้เทคโนโลยีเซลล์ใหม่ล่าสุด เก็บประจุได้ดีกว่า i3 ถึง 40% โดยติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ทำให้การกระจายน้ำหนักสมดุลช่วยให้คล่องตัว ควบคุมง่ายขึ้น ทั้งยังเพิ่มความมั่นคงและความสบายขณะขับขี่อีด้วย
เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX ประกอบด้วย เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว ระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering)
ส่วนระบบเบรกเป็นแบบสปอร์ต ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้วเป็นมาตรฐาน โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นล้อ Air Performance ขนาด 21 และ 22 นิ้วได้ตามต้องการ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียง
บีเอ็มดับเบิลยู iX มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ส่งแรงบิดด้วยกำลังที่พอเหมาะสู่ล้อหน้าและล้อหลังแปรผันตามสภาวะการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการส่งกำลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขับเคลื่อนล้อหลัง ตลอดไปจนถึงการเพิ่มแรงดึงเพื่อป้องกันการลื่นไถลขณะขับเคลื่อนสี่ล้อ
เทคโนโลยีป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ที่ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้า ซึ่งมาในบีเอ็มดับเบิลยู iX นั้น มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนเป็นการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน โดยมอเตอร์สองตัวทำงานด้วยหลักการของมอเตอร์ซิงโครนัสกระตุ้นด้วยไฟฟ้าแทนที่จะเป็นแม่เหล็กแบบมอเตอร์ทั่วไป
อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญคือ การใช้ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง
ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน ได้รับการตั้งค่ามาให้ทำงานเมื่อเข้าเกียร์ D แต่ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ
ในระดับสูง ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ B สร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ one-pedal feeling ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับการไหลเวียนของพลังงานจะแสดงผลผ่านจอ Control Display ขณะขับขี่ในทุกตำแหน่งเกียร์ พร้อม Efficiency Trainer แนะนำเคล็ดลับการขับขี่แบบประหยัดพลังงานมากสุด
บีเอ็มดับเบิลยู iX มีระบบควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน แบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนทำงานด้วยปั๊มความร้อนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิการทำงานของแบตเตอรี่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยความเร็วสูง
หัวชาร์จเป็นแบบ Combined Charging Unit (CCU) รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ (บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50) หรือ 150 กิโลวัตต์ (บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40) ความเร็วในการชาร์จจาก 10% ถึง 80% ภายใน 35 นาที สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 และภายใน 31 นาที สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 อีกทั้งยังเพิ่มระยะขับขี่ได้สูงสุดถึง 150 กิโลเมตรในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 และมากกว่า 95 กิโลเมตรในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 หลังชาร์จแบตเตอรี่ที่มีระดับพลังงาน 10% แบบ DC fast-charging เพียง 10 นาที
หน้าจอแสดงผลและระบบทำงาน iDrive เจเนอเรชั่นใหม่ เปิดตัวเป็นครั้งแรกในบีเอ็มดับเบิลยู iX ต่อยอดการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ออกแบบสำหรับทำงานร่วมกับจอระบบสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant
ทั้งนี้ จอ BMW Curved Display เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลซึ่งประกอบไปด้วย จอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วและจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ดิจิทัลมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และแสดงกราฟฟิกดีไซน์ใหม่ขณะสื่อสารกับผู้ใช้งาน
ระบบ My Modes ใหม่ ขยายการตั้งค่าต่าง ๆ ครอบคลุมการขับขี่ทุกรูปแบบ สามารถอัพเกรดระบบหรือซื้อบริการเพิ่มเติมจาก BMW ConnectedDrive Store ได้ด้วยตนเองผ่าน Functions onDemand ซึ่งติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ได้แบบไร้สาย และอัพเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดได้ตลอดเวลา ตัวรถใช้เทคโนโลยี 5G ในการรับส่งข้อมูล และสามารถส่งข้อมูลจากมือถือไปยังรถยนต์โดยใช้ eSIM อีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่บุกเบิกมาพร้อมกับบีเอ็มดับเบิลยู iX
บีเอ็มดับเบิลยู iX ปูทางสู่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและระบบช่วยเหลือการเข้าที่จอดต่าง ๆ ใกล้เคียงระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 3 โดยมาพร้อมเซนเซอร์ใหม่, ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน
ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลาย เหนือกว่ารถยนต์ทุกรุ่นจากบีเอ็มดับเบิลยู ระบบเตือนการชนด้านหน้าสามารถตรวจจับการจราจรหน้ารถได้ขณะเลี้ยวซ้าย (สำหรับประเทศที่รถยนต์ขับด้านขวา) หรือตรวจจับจักรยานและคนเดินเท้าได้ขณะเลี้ยวขวา ลูกค้ายังสามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Steering and Lane Control Assistant ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมถึงอีกสองระบบใหม่ล่าสุดอย่าง ระบบเตือนขณะเปิดประตูรถ ในกรณีที่มีจักรยานหรือคนเดินเท้าอยู่ใกล้ประตูรถ (Exit warning function) และระบบ Remote Theft Recorder
ดีไซน์ภายนอก บีเอ็มดับเบิลยู iX สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ มีกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า
การออกแบบภายในห้องโดยสาร มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางและเบาะนั่งแบบใหม่ มีพื้นที่วางขามากขึ้น คอนโซลกลางมาในดีไซน์เทียบเคียงเฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์ที่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัยระบบเสียง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D
นอกจากระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน บีเอ็มดับเบิลยู iX ยังมาพร้อมเสียงประกอบการขับขี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ฟังก์ชัน BMW IconicSounds Electric ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน พร้อมตัวเลือกเสียงใหม่ล่าสุดจากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Hans Zimmer
บีเอ็มดับเบิลยู iX ผลิต ณ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในเมืองดิงกอลฟิง ซึ่งทั้งตัวรถและเซลล์แบตเตอรี่ผลิตด้วยพลังงานสะอาดทุกขั้นตอน โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้จัดหาแร่ธาตุโคบอลต์และลิเธียม ซึ่งใช้สำหรับการผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูง จากแหล่งผลิตภายใต้การควบคุมในประเทศออสเตรเลียและโมร็อคโค จากนั้นจึงส่งตรงไปยังผู้ผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูง ปรัชญาในการออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูยังหลีกเลี่ยงการใช้แร่แรร์เอิร์ธในโรเตอร์ของระบบขับเคลื่อน และใช้อลูมิเนียมที่ผลิตในโรงงานซึ่งใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์
กระบวนการผลิตบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังครอบคลุมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้อลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการหล่อและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในปริมาณมาก ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยวัสดุไม้ที่รับรองจาก FSC หนังฟอกด้วยสารสกัดจากใบมะกอก และยังมีส่วนประกอบจากธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย และยังใช้แหจับปลาที่ผ่านการรีไซเคิลเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตพรมปูพื้นรถอีกด้วย
สำหรับราคาและการเปิดตัวอย่างเป็นทางการคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564นี้
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นในการสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ให้สมบูรณ์แบบที่สุด โดยเลือกเปิดตัว “บีเอ็มดับเบิลยู iX“ รถเรือธงรุ่นใหญ่สุด ภายใต้รูปแบบรถยนต์อเนกประสงค์ Sports Activity Vehicle (SAV) เพื่อปูรากฐานสู่นวัตกรรมแห่งอนาคตทั้ง การขับขี่อัตโนมัติ การเชื่อมต่อ และบริการด้านดิจิทัลต่าง ๆ
บีเอ็มดับเบิลยู iX จะเปิดตัวสู่ตลาดเป็นครั้งแรกด้วยสองรุ่นย่อย มาพร้อมระบบการขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า เริ่มด้วย บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 กำลังสูงสุด 523 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 765 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 4.6 วินาที วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 630 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP แบตเตอรี่มีความจุ 105.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ความจุพลังงานรวม 111.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง) อัตราการใช้ไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 23.0 – 19.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 0 กรัม/กม.
ส่วนอีกหนึ่งรุ่นคือ บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 กำลังสูงสุด 326 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 630 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 6.1 วินาที วิ่งได้ระยะทางไกลสุด 425 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP แบตเตอรี่มีความจุ 71 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ความจุพลังงานรวม 76.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง) อัตราการใช้ไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 22.5 – 19.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 0 กรัม/กม.
นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังเตรียมเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู iX M60 มาร่วมไลน์อัพ พลังสูงสุด 600 แรงม้า อัตราการใช้ไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP อยู่ที่ 21.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กิโลเมตร ระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ย 0 กรัม/กม. (ข้อมูลการส่งกำลังของมอเตอร์และอัตราการใช้ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยู iX M60 เป็นการคาดการณ์โดยใช้ข้อมูลของรถยนต์ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา)
โครงสร้างตัวถังใช้วัสดุอลูมิเนียมแบบ spaceframe หลังคาเป็นโครงสร้าง Carbon Cage ประกอบด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านข้างและด้านหลัง ผสานการใช้วัสดุสองประเภทเข้าไว้ด้วยกันเพื่อเสริมทั้งความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักให้เบาลง ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Drag Coefficient) ที่ต่ำเพียง 0.25
แบตเตอรี่แรงดันสูงใช้เทคโนโลยีเซลล์ใหม่ล่าสุด เก็บประจุได้ดีกว่า i3 ถึง 40% โดยติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงให้ต่ำลง ทำให้การกระจายน้ำหนักสมดุลช่วยให้คล่องตัว ควบคุมง่ายขึ้น ทั้งยังเพิ่มความมั่นคงและความสบายขณะขับขี่อีด้วย
เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX ประกอบด้วย เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว ระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering)
ส่วนระบบเบรกเป็นแบบสปอร์ต ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้วเป็นมาตรฐาน โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเป็นล้อ Air Performance ขนาด 21 และ 22 นิ้วได้ตามต้องการ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียง
บีเอ็มดับเบิลยู iX มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้า ส่งแรงบิดด้วยกำลังที่พอเหมาะสู่ล้อหน้าและล้อหลังแปรผันตามสภาวะการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการส่งกำลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการขับเคลื่อนล้อหลัง ตลอดไปจนถึงการเพิ่มแรงดึงเพื่อป้องกันการลื่นไถลขณะขับเคลื่อนสี่ล้อ
เทคโนโลยีป้องกันการลื่นไถลของล้อ (Near-actuator wheel slip limitation) ที่ได้รับการติดตั้งควบคู่กับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นครั้งแรก ช่วยป้องกันการลื่นไถลของล้อและเพิ่มความเสถียรภาพในการควบคุมรถให้ดียิ่งขึ้น
เทคโนโลยี BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้า ซึ่งมาในบีเอ็มดับเบิลยู iX นั้น มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ระบบขับเคลื่อนเป็นการรวมมอเตอร์ไฟฟ้า วงจรอิเล็กทรอนิกส์ และระบบเกียร์ไว้ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน โดยมอเตอร์สองตัวทำงานด้วยหลักการของมอเตอร์ซิงโครนัสกระตุ้นด้วยไฟฟ้าแทนที่จะเป็นแม่เหล็กแบบมอเตอร์ทั่วไป
อีกหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญคือ การใช้ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน (Adaptive recuperation) ช่วยเสริมประสิทธิภาพและระยะการขับขี่ของบีเอ็มดับเบิลยู iX ด้วยการดึงพลังงานจากระบบเบรกกลับมาใช้ใหม่ให้เหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ โดยใช้ข้อมูลจากระบบนำทางและเซนเซอร์จากระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรถเข้าใกล้ทางแยก ระดับการดึงพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะเพิ่มสูงขึ้น เพื่อเติมพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้ความเร็วการขับขี่ลดลง และจะทำงานสลับกับฟังก์ชั่น Coasting ขณะขับขี่บนท้องถนน ซึ่งช่วยให้รถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังงานเมื่อผู้ขับขี่ยกเท้าออกจากแป้นคันเร่ง
ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่แบบแปรผัน ได้รับการตั้งค่ามาให้ทำงานเมื่อเข้าเกียร์ D แต่ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ได้ตามต้องการ ระหว่างระดับสูง ปานกลาง และต่ำ
ในระดับสูง ระบบการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่จะทำงานอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์ B สร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบ one-pedal feeling ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับการไหลเวียนของพลังงานจะแสดงผลผ่านจอ Control Display ขณะขับขี่ในทุกตำแหน่งเกียร์ พร้อม Efficiency Trainer แนะนำเคล็ดลับการขับขี่แบบประหยัดพลังงานมากสุด
บีเอ็มดับเบิลยู iX มีระบบควบคุมอุณหภูมิภายในห้องโดยสารติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน แบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนทำงานด้วยปั๊มความร้อนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิการทำงานของแบตเตอรี่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ด้วยความเร็วสูง
หัวชาร์จเป็นแบบ Combined Charging Unit (CCU) รองรับการชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 200 กิโลวัตต์ (บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50) หรือ 150 กิโลวัตต์ (บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40) ความเร็วในการชาร์จจาก 10% ถึง 80% ภายใน 35 นาที สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 และภายใน 31 นาที สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 อีกทั้งยังเพิ่มระยะขับขี่ได้สูงสุดถึง 150 กิโลเมตรในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive50 และมากกว่า 95 กิโลเมตรในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 หลังชาร์จแบตเตอรี่ที่มีระดับพลังงาน 10% แบบ DC fast-charging เพียง 10 นาที
หน้าจอแสดงผลและระบบทำงาน iDrive เจเนอเรชั่นใหม่ เปิดตัวเป็นครั้งแรกในบีเอ็มดับเบิลยู iX ต่อยอดการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ออกแบบสำหรับทำงานร่วมกับจอระบบสัมผัสแบบโค้ง BMW Curved Display รองรับการโต้ตอบด้วยเสียงกับ BMW Intelligent Personal Assistant
ทั้งนี้ จอ BMW Curved Display เป็นกลุ่มจอแสดงผลดิจิทัลซึ่งประกอบไปด้วย จอ Information Display ขนาด 12.3 นิ้วและจอ Control Display ขนาด 14.9 นิ้ว รวมเข้าด้วยกันภายใต้แผงกระจกชิ้นเดียวที่หันหน้าเข้าหาผู้ขับขี่ ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ดิจิทัลมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่และแสดงกราฟฟิกดีไซน์ใหม่ขณะสื่อสารกับผู้ใช้งาน
ระบบ My Modes ใหม่ ขยายการตั้งค่าต่าง ๆ ครอบคลุมการขับขี่ทุกรูปแบบ สามารถอัพเกรดระบบหรือซื้อบริการเพิ่มเติมจาก BMW ConnectedDrive Store ได้ด้วยตนเองผ่าน Functions onDemand ซึ่งติดตั้งโปรแกรมต่าง ๆ ได้แบบไร้สาย และอัพเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดได้ตลอดเวลา ตัวรถใช้เทคโนโลยี 5G ในการรับส่งข้อมูล และสามารถส่งข้อมูลจากมือถือไปยังรถยนต์โดยใช้ eSIM อีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่บุกเบิกมาพร้อมกับบีเอ็มดับเบิลยู iX
บีเอ็มดับเบิลยู iX ปูทางสู่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติและระบบช่วยเหลือการเข้าที่จอดต่าง ๆ ใกล้เคียงระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 3 โดยมาพร้อมเซนเซอร์ใหม่, ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลัง ใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน
ส่วนระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลาย เหนือกว่ารถยนต์ทุกรุ่นจากบีเอ็มดับเบิลยู ระบบเตือนการชนด้านหน้าสามารถตรวจจับการจราจรหน้ารถได้ขณะเลี้ยวซ้าย (สำหรับประเทศที่รถยนต์ขับด้านขวา) หรือตรวจจับจักรยานและคนเดินเท้าได้ขณะเลี้ยวขวา ลูกค้ายังสามารถเลือกติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน Steering and Lane Control Assistant ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมถึงอีกสองระบบใหม่ล่าสุดอย่าง ระบบเตือนขณะเปิดประตูรถ ในกรณีที่มีจักรยานหรือคนเดินเท้าอยู่ใกล้ประตูรถ (Exit warning function) และระบบ Remote Theft Recorder
ดีไซน์ภายนอก บีเอ็มดับเบิลยู iX สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ มีกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า
การออกแบบภายในห้องโดยสาร มาพร้อมพื้นที่กว้างขวางและเบาะนั่งแบบใหม่ มีพื้นที่วางขามากขึ้น คอนโซลกลางมาในดีไซน์เทียบเคียงเฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display ระบบปรับอากาศอัตโนมัติมาพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์ที่สามารถกรองอากาศบริสุทธิ์ รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัยระบบเสียง Bowers & Wilkins Diamond Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D
นอกจากระบบการจำลองเสียงเพื่อเตือนคนเดินถนน บีเอ็มดับเบิลยู iX ยังมาพร้อมเสียงประกอบการขับขี่ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ฟังก์ชัน BMW IconicSounds Electric ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน พร้อมตัวเลือกเสียงใหม่ล่าสุดจากนักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลกอย่าง Hans Zimmer
บีเอ็มดับเบิลยู iX ผลิต ณ โรงงานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในเมืองดิงกอลฟิง ซึ่งทั้งตัวรถและเซลล์แบตเตอรี่ผลิตด้วยพลังงานสะอาดทุกขั้นตอน โดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้จัดหาแร่ธาตุโคบอลต์และลิเธียม ซึ่งใช้สำหรับการผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูง จากแหล่งผลิตภายใต้การควบคุมในประเทศออสเตรเลียและโมร็อคโค จากนั้นจึงส่งตรงไปยังผู้ผลิตแบตเตอรี่แรงดันสูง ปรัชญาในการออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูยังหลีกเลี่ยงการใช้แร่แรร์เอิร์ธในโรเตอร์ของระบบขับเคลื่อน และใช้อลูมิเนียมที่ผลิตในโรงงานซึ่งใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์
กระบวนการผลิตบีเอ็มดับเบิลยู iX ยังครอบคลุมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้อลูมิเนียมที่ผ่านกระบวนการหล่อและนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในปริมาณมาก ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยวัสดุไม้ที่รับรองจาก FSC หนังฟอกด้วยสารสกัดจากใบมะกอก และยังมีส่วนประกอบจากธรรมชาติอื่น ๆ อีกมากมาย และยังใช้แหจับปลาที่ผ่านการรีไซเคิลเป็นหนึ่งในวัสดุสำหรับผลิตพรมปูพื้นรถอีกด้วย
สำหรับราคาและการเปิดตัวอย่างเป็นทางการคาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564นี้