หากแยกย่อยเซ็กเมนท์รถยนต์แบบจำเพาะเจาะจงตามรูปแบบของตัวถัง กลุ่มรถยนต์ที่มียอดขายสูงที่สุดของตลาดเวลานี้ จะเป็นกลุ่มใดไปไม่ได้เลยนอกจาก เซ็กเมนท์รถซีดานขนาดเล็ก ด้วยยอดขายปีละ 70,000-100,000 คัน ตามสภาพของเศรษฐกิจ เนื่องจากรถกลุ่มนี้จะเป็นตัวเลือกแรกสุดของคนที่อยากมีรถยนต์เป็นคันแรกนั่นเอง
เพื่อเป็นข้อมูลช่วยประกอบการตัดสินใจ ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมสเปคของรถที่มีจำหน่ายทุกรุ่นนำมาเปรียบเทียบกัน ให้เห็นว่าแต่ละรุ่นมีอะไรน่าสนใจบ้าง โดยเป็นการใช้ข้อมูลจากค่ายผู้ผลิต เสริมด้วยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่ได้ลองขับมาแล้วครบทุกรุ่น โดยจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของความสวยงาม เพราะถือว่าเป็นเรื่องนานาจิตตังที่ แต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกันได้ ซึ่งไม่อาจจะหาข้อยุติหากมีข้อโต้แย้ง
ส่วนคันไหนจะมีจุดเด่นอย่างไร คุ้มค่าน่าคบหาแค่ไหน เชิญติดตามอ่านกันได้
ขนาดตัวถัง-พื้นที่ใช้สอย
หัวข้อนี้เดิม ซูซูกิ เซียส จะชนะเลิศ ด้วยมิติตัวถังและขนาดฐานล้อที่ยาวที่สุด แต่การเปิดตัวมาใหม่ของฮอนด้า ซิตี้ และนิสสัน อัลเมร่า ทำให้ความโดดเด่นในจุดนี้ของ ซูซูกิ เซียส ลดน้อยลงไป เนื่องจากไม่ได้แตกต่างกันมากมายเมื่อนำตัวเลขมาเปรียบเทียบกัน รวมถึงเมื่อได้ลองเข้าไปนั่งจริงในตำแหน่งผู้โดยสารทางด้านหลัง พบว่ากว้างขวางและสบายใกล้เคียงกัน รวมถึงโตโยต้า เอทีฟ และวีออส ที่มีขนาดไม่ต่างกันมากนัก
ส่วนอีกสองรุ่นคือ มาสด้า2 และมิตซูบิชิ แอททราจ ต้องยอมรับว่า ตัวเลขมิติตัวถังเล็กกว่าและการทดลองนั่งจริงทางด้านหลังมีพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า รวมถึงพื้นที่ในฝากระโปรงท้ายด้วยเช่นเดียวกัน แต่หากคุณอยากได้รถที่เล็กกระทัดรัด สองรุ่นนี้จะตรงสเปคกว่ารุ่นอื่นๆ เหนืออื่นใด วัสดุภายในของมาสด้า 2 โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นในเรื่องของคุณภาพ ชนิดที่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้วจะทราบถึงความละเอียดของคุณภาพวัสดุที่ใช้งาน
เครื่องยนต์
มองในด้านของเทคโนโลยี ฮอนด้า ซิตี้ และนิสสัน อัลเมร่า จะโดดเด่นกว่าใครเพื่อน ด้วยการใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของโลกยานยนต์ในการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพสูงโดยผลลัพธ์แล้ว ฮอนด้า ซิตี้ จะเหนือกว่าด้วยตัวเลขกำลังสูงสุด 122 แรงม้า และแรงบิด 173 นิวตันเมตร ที่เรียกว่าสมรรถนะใกล้เคียงรถที่ใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเลยทีเดียว
ด้านระบบส่งกำลังทุกรุ่นต่างคบหากับเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ซึ่งจะมีจุดเด่นในเรื่องของอัตราการบริโภคน้ำมันช่วยให้ผ่านมาตรฐานของโครงการอีโคคาร์เฟสสอง ซึ่งทุกรุ่นถูกผลิตขึ้นมาภายใต้โครงการนี้ ยกเว้นเพียง ซูซูกิ เซียส ที่ยังอยู่บนพื้นฐานของโครงการอีโคคาร์ เฟสแรก และ โตโยต้า วีออส ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการใดๆ
สำหรับทางเลือกเกียร์ธรรมดา ปัจจุบันจะเหลือเพียง ซูซูกิ เซียส รุ่นเดียวเท่านั้น ขณะที่มิตซูบิชิ หากดูตามตารางจะยังคงมีรุ่นเกียร์ธรรมดาจำหน่ายอยู่ แต่หลังจากประกาศนโยบาบประจำปี 2564 ล่าสุด มิตซูบิชิได้ยุติการทำตลาดรุ่นเกียร์ธรรมดาของแอททราจเรียบร้อยแล้ว โดยยังคงเหลือเพียงรถที่อยู่ในสต็อกของดีลเลอร์เท่านั้น จะไม่มีการผลิตรถใหม่ที่เป็นเกียร์ธรรมดาออกมาจำหน่ายอีกต่อไป ด้วยเหตุผลทางด้านการตลาดและผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ต้องมีการลดจำนวนรุ่นย่อยลง
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมของการเป็นรถยนต์คันแรกหรือคันเดียวของครอบครัว หัวข้อพิกัดกำลังอาจจะไม่ใช่น้ำหนักใหญ่ในการตัดสินใจเลือก เพราะถ้าคุณไม่ได้อยากขับรถด้วยความเร็วสูง จะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเลือกคบหารถที่เครื่องยนต์แรง เว้นเสียแต่ว่า ความแรงคือหัวใจสำคัญ ซึ่งคำตอบที่ใช่ในรถกลุ่มนี้ เราบอกไว้เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่มาสด้า2 จะเป็นรุ่นเพียงรุ่นเดียวที่มีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งจะมีราคาสูงกว่า และอัตราการบริโภคน้ำมันที่ดีกว่า ฉะนั้นหากคุณกำลังมองหารถเล็กเครื่องยนต์ดีเซล ทางเลือกเดียวที่มีในตลาดเวลานี้คือ มาสด้า 2 เราจึงขอไม่นำมาไว้ในตารางเพื่อลดความสับสน
ระบบกันสะเทือน
ทุกรุ่นเลือกคบหาระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีมหรือคานแข็ง แต่จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดว่า มีเหล็กกันโคลงเสริมเข้ามาหรือเป็นแบบอิสระ ซึ่ง ฮอนด้า ซิตี้ เป็นรถที่เราทดลองขับแล้วมีความรู้สึกชื่นชอบในการทรงตัวและดูดซับแรงสะเทือนมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อขับด้วยความเร็วสูง
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญในเรื่องของการทรงตัวนอกจากระบบช่วงล่างแล้วน้ำหนักของตัวรถมีผลโดยตรงเช่นเดียวกัน โดยฮอนด้าซิตี้มีน้ำหนักมากที่สุด เทียบกับรถเบาที่สุดคือ มิตซูบิชิ แอททราจ จะแตกต่างกันถึง 200 กิโลกรัม แน่นอนว่ามีผลต่อการทรงตัวของรถอย่างไม่ต้องสงสัย
ระบบเบรก
ทุกรุ่นทุกแบรนด์ ใช้ระบบเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรก และหลังเป็นแบบดรัมเบรก เหมือนกันหมด มีเพียง มาสด้า 2 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เท่านั้นที่ให้ ดิสก์เบรก 4 ล้อ ทั้งหน้าและหลัง โดยระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก และระบบเสริมแรงเบรกมีให้เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น
ระบบเสริมความปลอดภัย
โตโยต้า เอทีฟ มีถุงลมนิรภัยมาให้มากที่สุด 7 ตำแหน่ง ติดตั้งในทุกรุ่นย่อย ส่วนรองลงมาเป็น รุ่นท็อปของนิสสัน อัลเมร่า และฮอนด้า ซิตี้ ที่จะมีถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ส่วนฮอนด้า ซีตี้รุ่นย่อยอื่นๆ จะมีถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่ง นอกนั้นทุกแบรนด์จะติดตั้งถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่งทางด้านหน้า
ขณะที่ระบบเสริมความปลอดภัยอื่นๆ จะใส่ให้แตกต่างกันไป โดยระบบที่น่าสนใจควรมีไว้ใช้งานคือ ระบบควบคุมการทรงตัว (แต่ละแบรนด์เรียกชื่อต่างกันไป) โดยรถทุกรุ่นมีระบบนี้ใส่มาให้ยกเว้น ซูซูกิ เซียส เพียงรุ่นเดียวที่ไม่มี ส่วน โตโยต้า วีออส, โตโยต้า เอทีฟ, มิตซูบิชิ แอททราจ และ มาสด้า 2 ยังเสริมด้วยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีเพิ่มให้อีกด้วย
สำหรับระบบเตือนก่อนการชนทางด้านหน้า ได้รับการติดตั้งใน นิสสัน อัลเมร่า ทุกรุ่นยกเว้น 2 รุ่นเริ่มต้น , โตโยต้า เอทีฟ เฉพาะรุ่นท็อป และ มิตซูบิชิ แอททราจ เฉพาะรุ่นท็อป โดยแอททราจมีระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) และ อัลเมร่า จะมีระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ใส่เพิ่มเพื่อเสริมทำงานแบบควบคู่กัน
อัตราการบริโภคน้ำมัน-ไอเสีย
รถยนต์ในโครงการอีโคคาร์เฟสสองทุกรุ่นจะผ่านมาตรฐานเดียวกันคือ มีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยเท่ากันที่ 23.3 กม./ลิตร และปล่อยไอเสียที่ 100 กรัม/กม. ได้รับการรับรองมาตรฐานไอเสียยูโร 5 เว้นเพียง ฮอนด้า ซิตื้ที่เคลมตัวเลขอัตราการบริโภค 23.8 กม./ลิตร ขณะที่ซูซูกิ เซียสจะมีตัวเลขอัตราบริโภคน้ำมันที่ 20 กม./ลิตร ปล่อยไอเสีย 119 กรัม/กม. (ยูโร4) ตามมาตรฐานของโครงการอีโคคาร์เฟสหนึ่ง ส่วนโตโยต้า วิออส ได้ตัวเลข 17.2 กม./ลิตร ตามที่ระบุบนอีโคสติกเกอร์
ส่วนการใช้งานจริงจะไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าที่เราเห็นบนอีโคสติกเกอร์ เนื่องจากพฤติกรรมการขับของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การตอบสนองของรถแต่ละคันไม่เท่ากัน คนไหนชอบขับสนุก กดคันเร่งลึก ตัวเลขอัตราบริโภคย่อมต้องมากกว่า โดยโตโยต้า เอทีฟ เป็นรถรุ่นเดียวที่เราได้ทดลองขับใช้งานจริงจนน้ำมันหมดถัง ในการขับแบบปกติทั่วไป เดินทางต่างจังหวัดตัวเลขเฉลี่ยเกิน 20 กม./ลิตร ส่วนในเมือง 14-15 กม./ลิตร ส่วนรุ่นอื่นๆ นั้นได้ลองขับพอสมควรแต่ไม่ถึงกับใช้จนหมดถัง
การบริการหลังการขาย
โตโยต้าจะโดดเด่นที่สุดในเรื่องของการบริการหลังการขายด้วยจำนวนศูนย์บริการที่มีกว่า 400 แห่งทั่วประเทศและจำนวนอะไหล่ที่หาได้ง่าย รวมถึงการที่ช่างซ่อมรถทุกคนสามารถซ่อมและดูแลเครื่องยนต์ของโตโยต้าได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดูแลแต่ละแบรนด์จะไม่แตกต่างมากนักเนื่องจากเป็นรถขนาดเล็ก โดยการรับประกัน มิตซูบิชิ จะให้มากที่สุดคือ 5 ปี และซูซูกิ สามารถต่อเพิ่มได้ถึง 5 ปี หรือ 150,000 กม. นอกนั้นเท่ากันหมดที่ 3 ปีหรือ 100,000 กม.
ความสดใหม่
ฮอนด้า ซิตี้และนิสสัน อัลเมร่า ได้เปรียบที่สุดเนื่องจากมีการเปิดตัวในเวลาใกล้เคียงกันคือปลายปี 2562 ส่วนมิตซูบิชิ แอททราจจะเป็นโมเดลที่ทำตลาดมานานที่สุด มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาและเพิ่มความสดใหม่ด้วยการใส่ออปชันอยู่แทบทุกปี และล่าสุดของปีนี้มีการเพิ่มระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายเข้ามา พร้อมกับการออกรุ่นสีพิเศษช่วยกระตุ้นให้รู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหว
ขณะที่คู่แข่งมีการขยับด้วยเช่นเดียวกัน โตโยต้า เปิดตัวรุ่นพิเศษ PLAY แบบลิมิเต็ด เอดิชัน ขายจำกัดจำนวนเพียง 1,500 คันเท่านั้น โดยมีการใช้สีพิเศษและเติมออปชันเพิ่มเข้าไป
ความคุ้มค่า
มองไปที่ราคาจำหน่ายเป็นหลัก นิสสัน อัลเมร่า จะมีค่าตัวรุ่นเริ่มต้นที่ถูกที่สุด คือ 499,000 บาท โดยได้เกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ส่วนหากมองที่มุมของระบบเสริมความปลอดภัยใครใส่มาให้มากที่สุด ในค่าตัวที่ต่ำสุด มองดูแล้ว มิตซูบิชิ แอททราจ ตัวท็อป น่าสนใจ เช่นเดียวกับ โตโยต้า เอทีฟ รุ่นเริ่มต้น แต่เอทีฟถูกว่า 45,000 บาท โดยขาดเพียงระบบเตือนก่อนการชน แต่ได้ถุงลมนิรภัยเยอะกว่า ในราคา 539,000 บาท
ฉะนั้นหากมองในภาพรวมความคุ้มค่าการใช้งานระยะ 5-7ปีแล้ว ระหว่าง นิสสัน อัลเมร่า รุ่น S กับโตโยต้า เอทีฟ รุ่น Entry ที่มีส่วนต่างราคา 40,000 บาท คบหาได้ทั้งคู่ ขึ้นกับว่าคุณเชื่อมั่นว่า แบรนด์ใดเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋ามากกว่ากัน
คำตอบสุดท้าย
สารภาพตามตรง ผู้เขียนไม่สามารถเลือกได้ เพราะแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ต่างมีความโดดเด่นในมุมของตัวเอง ฮอนด้า ซีตี้ ได้ความแรงและสดใหม่, นิสสัน อัลเมร่า ค่าตัวย่อมเยา ความปลอดภัยแน่น, มิตซูบิชิ ประกันยาว ลูกเล่นเยอะ, มาสด้า 2 ขับสนุก วัสดุภายในคุณภาพสูง, ซูซูกิ เซียส ตัวถังใหญ่ แอร์หนาว, โตโยต้า วิออส และเอทีฟ ทนทาน มั่นใจในแบรนด์ ฉะนั้นแล้วขึ้นกับว่า คุณให้น้ำหนักตรงส่วนใดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายการเลือกรถคู่ใจ หวยมักจะไปออกที่ “คันนี้สวยถูกใจที่สุด” โดยข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาอาจจะเป็นเพียงเหตุผลในการสนับสนุนการตัดสินใจเลือกภายใต้หัวข้อนี้
เพื่อเป็นข้อมูลช่วยประกอบการตัดสินใจ ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมสเปคของรถที่มีจำหน่ายทุกรุ่นนำมาเปรียบเทียบกัน ให้เห็นว่าแต่ละรุ่นมีอะไรน่าสนใจบ้าง โดยเป็นการใช้ข้อมูลจากค่ายผู้ผลิต เสริมด้วยความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่ได้ลองขับมาแล้วครบทุกรุ่น โดยจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของความสวยงาม เพราะถือว่าเป็นเรื่องนานาจิตตังที่ แต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกันได้ ซึ่งไม่อาจจะหาข้อยุติหากมีข้อโต้แย้ง
ส่วนคันไหนจะมีจุดเด่นอย่างไร คุ้มค่าน่าคบหาแค่ไหน เชิญติดตามอ่านกันได้
ขนาดตัวถัง-พื้นที่ใช้สอย
หัวข้อนี้เดิม ซูซูกิ เซียส จะชนะเลิศ ด้วยมิติตัวถังและขนาดฐานล้อที่ยาวที่สุด แต่การเปิดตัวมาใหม่ของฮอนด้า ซิตี้ และนิสสัน อัลเมร่า ทำให้ความโดดเด่นในจุดนี้ของ ซูซูกิ เซียส ลดน้อยลงไป เนื่องจากไม่ได้แตกต่างกันมากมายเมื่อนำตัวเลขมาเปรียบเทียบกัน รวมถึงเมื่อได้ลองเข้าไปนั่งจริงในตำแหน่งผู้โดยสารทางด้านหลัง พบว่ากว้างขวางและสบายใกล้เคียงกัน รวมถึงโตโยต้า เอทีฟ และวีออส ที่มีขนาดไม่ต่างกันมากนัก
ส่วนอีกสองรุ่นคือ มาสด้า2 และมิตซูบิชิ แอททราจ ต้องยอมรับว่า ตัวเลขมิติตัวถังเล็กกว่าและการทดลองนั่งจริงทางด้านหลังมีพื้นที่ใช้สอยน้อยกว่า รวมถึงพื้นที่ในฝากระโปรงท้ายด้วยเช่นเดียวกัน แต่หากคุณอยากได้รถที่เล็กกระทัดรัด สองรุ่นนี้จะตรงสเปคกว่ารุ่นอื่นๆ เหนืออื่นใด วัสดุภายในของมาสด้า 2 โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นในเรื่องของคุณภาพ ชนิดที่เมื่อได้ลองสัมผัสแล้วจะทราบถึงความละเอียดของคุณภาพวัสดุที่ใช้งาน
เครื่องยนต์
มองในด้านของเทคโนโลยี ฮอนด้า ซิตี้ และนิสสัน อัลเมร่า จะโดดเด่นกว่าใครเพื่อน ด้วยการใช้เครื่องยนต์ขนาด 1.0 ลิตร เทอร์โบ ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของโลกยานยนต์ในการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพสูงโดยผลลัพธ์แล้ว ฮอนด้า ซิตี้ จะเหนือกว่าด้วยตัวเลขกำลังสูงสุด 122 แรงม้า และแรงบิด 173 นิวตันเมตร ที่เรียกว่าสมรรถนะใกล้เคียงรถที่ใช้เครื่องยนต์ 1.8 ลิตรเลยทีเดียว
ด้านระบบส่งกำลังทุกรุ่นต่างคบหากับเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ซึ่งจะมีจุดเด่นในเรื่องของอัตราการบริโภคน้ำมันช่วยให้ผ่านมาตรฐานของโครงการอีโคคาร์เฟสสอง ซึ่งทุกรุ่นถูกผลิตขึ้นมาภายใต้โครงการนี้ ยกเว้นเพียง ซูซูกิ เซียส ที่ยังอยู่บนพื้นฐานของโครงการอีโคคาร์ เฟสแรก และ โตโยต้า วีออส ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการใดๆ
สำหรับทางเลือกเกียร์ธรรมดา ปัจจุบันจะเหลือเพียง ซูซูกิ เซียส รุ่นเดียวเท่านั้น ขณะที่มิตซูบิชิ หากดูตามตารางจะยังคงมีรุ่นเกียร์ธรรมดาจำหน่ายอยู่ แต่หลังจากประกาศนโยบาบประจำปี 2564 ล่าสุด มิตซูบิชิได้ยุติการทำตลาดรุ่นเกียร์ธรรมดาของแอททราจเรียบร้อยแล้ว โดยยังคงเหลือเพียงรถที่อยู่ในสต็อกของดีลเลอร์เท่านั้น จะไม่มีการผลิตรถใหม่ที่เป็นเกียร์ธรรมดาออกมาจำหน่ายอีกต่อไป ด้วยเหตุผลทางด้านการตลาดและผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ต้องมีการลดจำนวนรุ่นย่อยลง
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมของการเป็นรถยนต์คันแรกหรือคันเดียวของครอบครัว หัวข้อพิกัดกำลังอาจจะไม่ใช่น้ำหนักใหญ่ในการตัดสินใจเลือก เพราะถ้าคุณไม่ได้อยากขับรถด้วยความเร็วสูง จะไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเลือกคบหารถที่เครื่องยนต์แรง เว้นเสียแต่ว่า ความแรงคือหัวใจสำคัญ ซึ่งคำตอบที่ใช่ในรถกลุ่มนี้ เราบอกไว้เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่มาสด้า2 จะเป็นรุ่นเพียงรุ่นเดียวที่มีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งจะมีราคาสูงกว่า และอัตราการบริโภคน้ำมันที่ดีกว่า ฉะนั้นหากคุณกำลังมองหารถเล็กเครื่องยนต์ดีเซล ทางเลือกเดียวที่มีในตลาดเวลานี้คือ มาสด้า 2 เราจึงขอไม่นำมาไว้ในตารางเพื่อลดความสับสน
ระบบกันสะเทือน
ทุกรุ่นเลือกคบหาระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชันบีมหรือคานแข็ง แต่จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดว่า มีเหล็กกันโคลงเสริมเข้ามาหรือเป็นแบบอิสระ ซึ่ง ฮอนด้า ซิตี้ เป็นรถที่เราทดลองขับแล้วมีความรู้สึกชื่นชอบในการทรงตัวและดูดซับแรงสะเทือนมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อขับด้วยความเร็วสูง
ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญในเรื่องของการทรงตัวนอกจากระบบช่วงล่างแล้วน้ำหนักของตัวรถมีผลโดยตรงเช่นเดียวกัน โดยฮอนด้าซิตี้มีน้ำหนักมากที่สุด เทียบกับรถเบาที่สุดคือ มิตซูบิชิ แอททราจ จะแตกต่างกันถึง 200 กิโลกรัม แน่นอนว่ามีผลต่อการทรงตัวของรถอย่างไม่ต้องสงสัย
ระบบเบรก
ทุกรุ่นทุกแบรนด์ ใช้ระบบเบรกหน้าเป็นดิสก์เบรก และหลังเป็นแบบดรัมเบรก เหมือนกันหมด มีเพียง มาสด้า 2 รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เท่านั้นที่ให้ ดิสก์เบรก 4 ล้อ ทั้งหน้าและหลัง โดยระบบป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก และระบบเสริมแรงเบรกมีให้เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น
ระบบเสริมความปลอดภัย
โตโยต้า เอทีฟ มีถุงลมนิรภัยมาให้มากที่สุด 7 ตำแหน่ง ติดตั้งในทุกรุ่นย่อย ส่วนรองลงมาเป็น รุ่นท็อปของนิสสัน อัลเมร่า และฮอนด้า ซิตี้ ที่จะมีถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ส่วนฮอนด้า ซีตี้รุ่นย่อยอื่นๆ จะมีถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่ง นอกนั้นทุกแบรนด์จะติดตั้งถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่งทางด้านหน้า
ขณะที่ระบบเสริมความปลอดภัยอื่นๆ จะใส่ให้แตกต่างกันไป โดยระบบที่น่าสนใจควรมีไว้ใช้งานคือ ระบบควบคุมการทรงตัว (แต่ละแบรนด์เรียกชื่อต่างกันไป) โดยรถทุกรุ่นมีระบบนี้ใส่มาให้ยกเว้น ซูซูกิ เซียส เพียงรุ่นเดียวที่ไม่มี ส่วน โตโยต้า วีออส, โตโยต้า เอทีฟ, มิตซูบิชิ แอททราจ และ มาสด้า 2 ยังเสริมด้วยระบบป้องกันล้อหมุนฟรีเพิ่มให้อีกด้วย
สำหรับระบบเตือนก่อนการชนทางด้านหน้า ได้รับการติดตั้งใน นิสสัน อัลเมร่า ทุกรุ่นยกเว้น 2 รุ่นเริ่มต้น , โตโยต้า เอทีฟ เฉพาะรุ่นท็อป และ มิตซูบิชิ แอททราจ เฉพาะรุ่นท็อป โดยแอททราจมีระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) และ อัลเมร่า จะมีระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน ใส่เพิ่มเพื่อเสริมทำงานแบบควบคู่กัน
อัตราการบริโภคน้ำมัน-ไอเสีย
รถยนต์ในโครงการอีโคคาร์เฟสสองทุกรุ่นจะผ่านมาตรฐานเดียวกันคือ มีอัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยเท่ากันที่ 23.3 กม./ลิตร และปล่อยไอเสียที่ 100 กรัม/กม. ได้รับการรับรองมาตรฐานไอเสียยูโร 5 เว้นเพียง ฮอนด้า ซิตื้ที่เคลมตัวเลขอัตราการบริโภค 23.8 กม./ลิตร ขณะที่ซูซูกิ เซียสจะมีตัวเลขอัตราบริโภคน้ำมันที่ 20 กม./ลิตร ปล่อยไอเสีย 119 กรัม/กม. (ยูโร4) ตามมาตรฐานของโครงการอีโคคาร์เฟสหนึ่ง ส่วนโตโยต้า วิออส ได้ตัวเลข 17.2 กม./ลิตร ตามที่ระบุบนอีโคสติกเกอร์
ส่วนการใช้งานจริงจะไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าที่เราเห็นบนอีโคสติกเกอร์ เนื่องจากพฤติกรรมการขับของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การตอบสนองของรถแต่ละคันไม่เท่ากัน คนไหนชอบขับสนุก กดคันเร่งลึก ตัวเลขอัตราบริโภคย่อมต้องมากกว่า โดยโตโยต้า เอทีฟ เป็นรถรุ่นเดียวที่เราได้ทดลองขับใช้งานจริงจนน้ำมันหมดถัง ในการขับแบบปกติทั่วไป เดินทางต่างจังหวัดตัวเลขเฉลี่ยเกิน 20 กม./ลิตร ส่วนในเมือง 14-15 กม./ลิตร ส่วนรุ่นอื่นๆ นั้นได้ลองขับพอสมควรแต่ไม่ถึงกับใช้จนหมดถัง
การบริการหลังการขาย
โตโยต้าจะโดดเด่นที่สุดในเรื่องของการบริการหลังการขายด้วยจำนวนศูนย์บริการที่มีกว่า 400 แห่งทั่วประเทศและจำนวนอะไหล่ที่หาได้ง่าย รวมถึงการที่ช่างซ่อมรถทุกคนสามารถซ่อมและดูแลเครื่องยนต์ของโตโยต้าได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดูแลแต่ละแบรนด์จะไม่แตกต่างมากนักเนื่องจากเป็นรถขนาดเล็ก โดยการรับประกัน มิตซูบิชิ จะให้มากที่สุดคือ 5 ปี และซูซูกิ สามารถต่อเพิ่มได้ถึง 5 ปี หรือ 150,000 กม. นอกนั้นเท่ากันหมดที่ 3 ปีหรือ 100,000 กม.
ความสดใหม่
ฮอนด้า ซิตี้และนิสสัน อัลเมร่า ได้เปรียบที่สุดเนื่องจากมีการเปิดตัวในเวลาใกล้เคียงกันคือปลายปี 2562 ส่วนมิตซูบิชิ แอททราจจะเป็นโมเดลที่ทำตลาดมานานที่สุด มีการปรับเปลี่ยนหน้าตาและเพิ่มความสดใหม่ด้วยการใส่ออปชันอยู่แทบทุกปี และล่าสุดของปีนี้มีการเพิ่มระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายเข้ามา พร้อมกับการออกรุ่นสีพิเศษช่วยกระตุ้นให้รู้สึกว่ามีความเคลื่อนไหว
ขณะที่คู่แข่งมีการขยับด้วยเช่นเดียวกัน โตโยต้า เปิดตัวรุ่นพิเศษ PLAY แบบลิมิเต็ด เอดิชัน ขายจำกัดจำนวนเพียง 1,500 คันเท่านั้น โดยมีการใช้สีพิเศษและเติมออปชันเพิ่มเข้าไป
ความคุ้มค่า
มองไปที่ราคาจำหน่ายเป็นหลัก นิสสัน อัลเมร่า จะมีค่าตัวรุ่นเริ่มต้นที่ถูกที่สุด คือ 499,000 บาท โดยได้เกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ส่วนหากมองที่มุมของระบบเสริมความปลอดภัยใครใส่มาให้มากที่สุด ในค่าตัวที่ต่ำสุด มองดูแล้ว มิตซูบิชิ แอททราจ ตัวท็อป น่าสนใจ เช่นเดียวกับ โตโยต้า เอทีฟ รุ่นเริ่มต้น แต่เอทีฟถูกว่า 45,000 บาท โดยขาดเพียงระบบเตือนก่อนการชน แต่ได้ถุงลมนิรภัยเยอะกว่า ในราคา 539,000 บาท
ฉะนั้นหากมองในภาพรวมความคุ้มค่าการใช้งานระยะ 5-7ปีแล้ว ระหว่าง นิสสัน อัลเมร่า รุ่น S กับโตโยต้า เอทีฟ รุ่น Entry ที่มีส่วนต่างราคา 40,000 บาท คบหาได้ทั้งคู่ ขึ้นกับว่าคุณเชื่อมั่นว่า แบรนด์ใดเป็นมิตรกับเงินในกระเป๋ามากกว่ากัน
คำตอบสุดท้าย
สารภาพตามตรง ผู้เขียนไม่สามารถเลือกได้ เพราะแต่ละรุ่น แต่ละแบรนด์ต่างมีความโดดเด่นในมุมของตัวเอง ฮอนด้า ซีตี้ ได้ความแรงและสดใหม่, นิสสัน อัลเมร่า ค่าตัวย่อมเยา ความปลอดภัยแน่น, มิตซูบิชิ ประกันยาว ลูกเล่นเยอะ, มาสด้า 2 ขับสนุก วัสดุภายในคุณภาพสูง, ซูซูกิ เซียส ตัวถังใหญ่ แอร์หนาว, โตโยต้า วิออส และเอทีฟ ทนทาน มั่นใจในแบรนด์ ฉะนั้นแล้วขึ้นกับว่า คุณให้น้ำหนักตรงส่วนใดมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายการเลือกรถคู่ใจ หวยมักจะไปออกที่ “คันนี้สวยถูกใจที่สุด” โดยข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาอาจจะเป็นเพียงเหตุผลในการสนับสนุนการตัดสินใจเลือกภายใต้หัวข้อนี้