เลกซัส เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบโฉมใหม่ล่าสุด LF-Z ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการพลิกโฉมแบรนด์เลกซัสในการเข้าเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ โดยมีกำหนดให้ใช้งานจริงได้ภายในปี 2568
เลกซัส LF-Z จะใช้โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อการพัฒนาต่อยอดกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้แบตเตอรี่ (BEV) รุ่นอื่นๆ ในอนาคตของเลกซัส พร้อมกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนใหม่ในชื่ออย่าง Direct4 ผสมผสานการออกแบบภายในด้วยแนวคิด ทาซึนะ และระบบ AI ต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกในการใช้งาน
สำหรับขนาดของ เลกซัส LF-Z จัดอยู่ในประเภทของรถแบบอเนกประสงค์ SUV 5 ประตู ขนาดกลาง มิติตัวถัง มีความยาว 4,880 มม. , ความกว้าง 1,960 มม. ความสูง 1,600 มม. และความยาวฐานล้อ 2,950 มม. น้ำหนัก 2,100 กิโลกรัม เรียกว่ารวมๆ แล้วอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรุ่น RX
การดีไซน์รูปโฉมภายนอกยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นเลกซัสเอาไว้ เน้นความเรียบง่ายและดึงดูดสายตา ผสมสัดส่วนที่ดูแข็งแกร่ง ตัวถังเป็นรูปทรงแกนหมุน จุดศูนย์กลางอยู่ที่ห้องโดยสาร ด้านหน้ากระจังเป็นแบบปิดทึบ เส้นสายด้านข้างจากหน้ารถถึงท้ายรถออกแบบให้รู้สึกถึงการพุ่งจากข้างล่างขึ้นสู่ด้านบน
บริเวณด้านท้ายออกแบบให้มีลักษณะสูงขึ้น แต่ลู่ลม และเน้นความเรียบง่าย ไฟท้ายแบบแนวนอนยาวตลอดจากซ้ายถึงขวาพร้อมด้วยอักษร Lexus เรืองแสง ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลายเป็นพื้นฐานของสไตล์การออกแบบรถยนต์เลกซัสในเจเนอเรชันถัดไป
ห้องโดยสารออกแบบตามแนวคิดใหม่ ทาซึนะ ที่ให้ความรู้สึกเปิดโล่งสไตล์มินิมอล (“ทาซึนะ” ภาษาญี่ปุ่นหมายถึง บังเหียน) โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์ระหว่างม้ากับคนขี่ม้า ที่จะสื่อสารกันผ่านบังเหียนเพียงเส้นเดียว เช่นเดียวกับที่ผู้ขับขี่จะควบคุมและสั่งการรถยนต์ผ่านพวงมาลัยที่มีปุ่มมัลติฟังก์ชัน โดยพวงมาลัยจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ชื่อ Steer by wire ให้การเลี้ยวที่ง่ายกว่าเดิมมาก
เพื่อสื่อถึงความมินิมอลและพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกโล่งโปร่งสบายแบบโอโมเตนาชิอย่างแท้จริง เลกซัสได้จัดวางแผงควบคุมต่างๆ เอาไว้ในระดับต่ำ ทำให้พื้นที่ด้านบนดูสะอาดตา รูปทรงไร้รอยต่อเชื่อมจากกระจกหน้าเข้ากับประตูหน้าและยาวต่อไปจนถึงประตูหลัง พร้อมด้วยหลังคาแบบพาโนรามิกกระจกยาว ให้ความรู้สึกโปร่งตลอดทั่วทั้งคัน
ในขณะที่หน้าจอแสดงผล มาตรวัด หน้าจอสัมผัส และฟังก์ชันการให้ข้อมูลอื่นๆ ถูกจัดกลุ่มรวมกันเป็นโมดูลเดียว เพื่อขยายการมองเห็นทางด้านหน้ารถให้กว้างขึ้น ซึ่งจะเป็นทิศทางใหม่ในการออกแบบภายในห้องโดยสารของรถยนต์เลกซัสรุ่นต่อๆ ไปด้วยเช่นเดียวกัน
ลูกเล่นล้ำหน้าของ LF-Z จะใช้ปัญญาประดิษณ์(AI) ซึ่งเรียนรู้ลักษณะความต้องการและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ตลอดเวลา พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงพูดและตอบโต้กับผู้ขับขี่ได้ประหนึ่งเลขาส่วนตัว เช่น การระบุเส้นทางในการขับขี่หรือการจองโต๊ะในร้านอาหาร ระบบสามารถสนทนากับผู้ขับขี่ได้ ระบบเครื่องเสียงเจเนอเรชันล้ำยุคจาก Mark Levinson
ระบบกุญแจดิจิทัลใหม่ ควบคุมได้ด้วยสมาร์ทโฟน สามารถล็อกและปลดล็อกได้ด้วยโทรศัพท์ รองรับระบบคาร์แชริ่ง พร้อมระบบกลอนประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ มือจับประตูแบบซ่อนอยู่ตัวถังและจะยื่นออกมาเมื่อผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารที่มีกุญแจเดินเข้าใกล้ ส่วนการเปิดจากด้านในห้องโดยสารเพียงกดปุ่มสามารถเปิดประตูได้อย่างปลอดภัยกว่าเดิมด้วยเซนเซอร์ที่ตรวจจับพื้นที่โดยรอบว่ามีรถสวนมาหรืออยู่ด้านข้างหรือไม่
ด้านการขับเคลื่อนมากับระบบใหม่ Direct4 ที่ใช้มอเตอร์ 2ตัวทางด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ LF-Z กลายเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาหรือขับเคลื่อน2 ล้อหน้า หรือ 2 ล้อหลังได้ เนื่องจากสามารถกระจายแรงบิดได้อย่างอิสระเพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
เลกซัส LF-Z มีกำลังสูงสุด 400 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 90 kWh รองรับการชาร์จด้วยกำลังอัดประจุสูงสุด 150 กิโลวัตต์ ระยะทางการขับขี่สูงสุด 600 กิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัด WLTP
ทั้งนี้ เลกซัส วางแผนจะผลิต LF-Z ออกจำหน่ายจริงภายในปี 2568
เลกซัส LF-Z จะใช้โครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด เพื่อการพัฒนาต่อยอดกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าชนิดใช้แบตเตอรี่ (BEV) รุ่นอื่นๆ ในอนาคตของเลกซัส พร้อมกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อนใหม่ในชื่ออย่าง Direct4 ผสมผสานการออกแบบภายในด้วยแนวคิด ทาซึนะ และระบบ AI ต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกในการใช้งาน
สำหรับขนาดของ เลกซัส LF-Z จัดอยู่ในประเภทของรถแบบอเนกประสงค์ SUV 5 ประตู ขนาดกลาง มิติตัวถัง มีความยาว 4,880 มม. , ความกว้าง 1,960 มม. ความสูง 1,600 มม. และความยาวฐานล้อ 2,950 มม. น้ำหนัก 2,100 กิโลกรัม เรียกว่ารวมๆ แล้วอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรุ่น RX
การดีไซน์รูปโฉมภายนอกยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นเลกซัสเอาไว้ เน้นความเรียบง่ายและดึงดูดสายตา ผสมสัดส่วนที่ดูแข็งแกร่ง ตัวถังเป็นรูปทรงแกนหมุน จุดศูนย์กลางอยู่ที่ห้องโดยสาร ด้านหน้ากระจังเป็นแบบปิดทึบ เส้นสายด้านข้างจากหน้ารถถึงท้ายรถออกแบบให้รู้สึกถึงการพุ่งจากข้างล่างขึ้นสู่ด้านบน
บริเวณด้านท้ายออกแบบให้มีลักษณะสูงขึ้น แต่ลู่ลม และเน้นความเรียบง่าย ไฟท้ายแบบแนวนอนยาวตลอดจากซ้ายถึงขวาพร้อมด้วยอักษร Lexus เรืองแสง ซึ่งทั้งหมดนี้จะกลายเป็นพื้นฐานของสไตล์การออกแบบรถยนต์เลกซัสในเจเนอเรชันถัดไป
ห้องโดยสารออกแบบตามแนวคิดใหม่ ทาซึนะ ที่ให้ความรู้สึกเปิดโล่งสไตล์มินิมอล (“ทาซึนะ” ภาษาญี่ปุ่นหมายถึง บังเหียน) โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์ระหว่างม้ากับคนขี่ม้า ที่จะสื่อสารกันผ่านบังเหียนเพียงเส้นเดียว เช่นเดียวกับที่ผู้ขับขี่จะควบคุมและสั่งการรถยนต์ผ่านพวงมาลัยที่มีปุ่มมัลติฟังก์ชัน โดยพวงมาลัยจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ ชื่อ Steer by wire ให้การเลี้ยวที่ง่ายกว่าเดิมมาก
เพื่อสื่อถึงความมินิมอลและพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกโล่งโปร่งสบายแบบโอโมเตนาชิอย่างแท้จริง เลกซัสได้จัดวางแผงควบคุมต่างๆ เอาไว้ในระดับต่ำ ทำให้พื้นที่ด้านบนดูสะอาดตา รูปทรงไร้รอยต่อเชื่อมจากกระจกหน้าเข้ากับประตูหน้าและยาวต่อไปจนถึงประตูหลัง พร้อมด้วยหลังคาแบบพาโนรามิกกระจกยาว ให้ความรู้สึกโปร่งตลอดทั่วทั้งคัน
ในขณะที่หน้าจอแสดงผล มาตรวัด หน้าจอสัมผัส และฟังก์ชันการให้ข้อมูลอื่นๆ ถูกจัดกลุ่มรวมกันเป็นโมดูลเดียว เพื่อขยายการมองเห็นทางด้านหน้ารถให้กว้างขึ้น ซึ่งจะเป็นทิศทางใหม่ในการออกแบบภายในห้องโดยสารของรถยนต์เลกซัสรุ่นต่อๆ ไปด้วยเช่นเดียวกัน
ลูกเล่นล้ำหน้าของ LF-Z จะใช้ปัญญาประดิษณ์(AI) ซึ่งเรียนรู้ลักษณะความต้องการและพฤติกรรมของผู้ขับขี่ตลอดเวลา พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงพูดและตอบโต้กับผู้ขับขี่ได้ประหนึ่งเลขาส่วนตัว เช่น การระบุเส้นทางในการขับขี่หรือการจองโต๊ะในร้านอาหาร ระบบสามารถสนทนากับผู้ขับขี่ได้ ระบบเครื่องเสียงเจเนอเรชันล้ำยุคจาก Mark Levinson
ระบบกุญแจดิจิทัลใหม่ ควบคุมได้ด้วยสมาร์ทโฟน สามารถล็อกและปลดล็อกได้ด้วยโทรศัพท์ รองรับระบบคาร์แชริ่ง พร้อมระบบกลอนประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ มือจับประตูแบบซ่อนอยู่ตัวถังและจะยื่นออกมาเมื่อผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารที่มีกุญแจเดินเข้าใกล้ ส่วนการเปิดจากด้านในห้องโดยสารเพียงกดปุ่มสามารถเปิดประตูได้อย่างปลอดภัยกว่าเดิมด้วยเซนเซอร์ที่ตรวจจับพื้นที่โดยรอบว่ามีรถสวนมาหรืออยู่ด้านข้างหรือไม่
ด้านการขับเคลื่อนมากับระบบใหม่ Direct4 ที่ใช้มอเตอร์ 2ตัวทางด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ LF-Z กลายเป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาหรือขับเคลื่อน2 ล้อหน้า หรือ 2 ล้อหลังได้ เนื่องจากสามารถกระจายแรงบิดได้อย่างอิสระเพื่อการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
เลกซัส LF-Z มีกำลังสูงสุด 400 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม. แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 90 kWh รองรับการชาร์จด้วยกำลังอัดประจุสูงสุด 150 กิโลวัตต์ ระยะทางการขับขี่สูงสุด 600 กิโลเมตร ตามมาตรฐานการวัด WLTP
ทั้งนี้ เลกซัส วางแผนจะผลิต LF-Z ออกจำหน่ายจริงภายในปี 2568
