เปิดงานอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ งานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42 หรือ BIMS42 ซึ่งในปีนี้มากับแนวคิด “วิถีชีวิตใหม่ ใจเป็นสุข” หรือ “Shaping the Next Chapter” โดยการจัดงานมีขึ้นภายใต้มาตรการคุมเข้มเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ส่วนรถใหม่จะมีแบรนด์ใดนำทีเด็ดมาอวดโฉมในงานบ้าง ทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมมาให้ทุกท่านไม่พลาดก่อนการไปชม
อาวดี้
อาวดี้ e-tron GT quattro ใหม่ เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วน 100% รุ่นที่ 3 ของอาวดี้ที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย โดยมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย e-tron GT quattro, e-tron GT quattro Performance และตัวแรงสุดอย่าง RS e-tron GT quattro
สำหรับ อาวดี้ e-tron GT quattro ถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ e-motors กำลังสูงสุด 530 แรงม้า (ใน Boost Mode) แรงบิดสูงสุด 630 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.1 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 245 กม./ชม. พร้อมด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนความจุ 93.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง(เท่ากันทุกรุ่นย่อย) สามารถขับขี่ได้ระยะทางสูงสุด 540 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้งตามมาตรฐาน NEDC
ส่วน อาวดี้ RS e-tron GT quattro ถูกติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ให้กำลังรวมสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 646 แรงม้า (ใน Boost Mode) แรงบิดสูงสุด 830 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 3.3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 250 กม./ชม. สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทางราว 504 กิโลเมตรต่อการชาร์จแต่ละครั้ง
ราคาจำหน่าย
Audi e-tron GT quattro อยู่ที่ 6,390,000 บาท
Audi e-tron GT quattro Performance อยู่ที่ 6,790,000 บาท
Audi RS e-tron GT quattro อยู่ที่ 9,490,000 บาท
บีเอ็มดับเบิลยู
BMW M4 Competition Coupe เวอร์ชันตัวแรงถูกเผยโฉมครั้งแรกในงานนี้ด้วยสีพิเศษ Sao Paulo Yello พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงาตัดกันเป็นอย่างดีกับสีของตัวถัง ล้อฟอร์ก M ด้านหน้า 19 นิ้ว ด้านหลัง 20 นิ้ว น้ำหนักเบาพิเศษ
หัวใจบรรจุเครื่องยนต์เบนซินขนาด 3.0 ลิตร 6 สูบ Twin Power Turbo กำลังสูงสุด 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 650 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ M Steptronic 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. สามารถขยับความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 290 กม./ชม. เมื่อใส่ M Driver Package
ด้านการตกแต่งภายในมากับสไตล์ M คลาสสิก วัสดุคุณภาพสูง เบาะหุ้มหนังแท้อัลคัลทาร่า พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมโลโก้ M ที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ให้น้ำหนักเบาพิเศษ เบาะนั่งเป็นแบบ M Carbon bucket seat หุ้มหนังแท้ทั้งตัวด้วยสีพิเศษ Merino Yas marina blue/black ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในเบาะของรถแข่งในสนาม
ด้านระบบปฏิบัติการได้รับการอัพเกรดใหม่เป็น BMW OS7 รุ่นล่าสุด ที่รองรับการสั่งการได้ทั้งเสียงพูด, สัมผัสหน้าจอ และการควบคุมด้วยปุ่ม i-Drive พร้อมระบบ gesture control และระบบ BMW Digital Key กุญแจอัจฉริยะที่เปลี่ยนให้โทรศัพท์ไอ-โฟนสามารถสั่งงานการเปิด-ปิดประตู รวมถึงติดเครื่องยนต์ได้
BMW M4 Competition Coupe เปิดตัวด้วยราคา 9,999,000 บาท (รวม BSI Standard)
เกรท วอลล์ มอเตอร์
เกรท วอลล์ มอเตอร์ เปิดตัว Haval H6 Hybrid เป็นครั้งแรกในโลกที่ประเทศไทย ด้วยเวอร์ชันพวงมาลัยขวา รูปโฉมภายนอกนั้นเหมือนกันกับ Haval H6 ที่เปิดตัวที่ประเทศจีนเมื่อปีที่แล้ว แต่จะต่างกันที่หัวใจ ซึ่งไฮบริดนี้ จะทำการเปิดตัวอีกครั้งในช่วงไตรมาสที่สอง พร้อมรายละเอียดแบบครบถ้วน
สำหรับข้อมูลเบื้องต้น มิติของตัวรถขนาดกว้าง1,886 มม. ยาว 4,653 มม. สูง 1,724 มม. มีระยะฐานล้อ 2,738 มม. และขนาดล้อ 19 นิ้ว หัวใจมาเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลังสูงสุด 130 กิโลวัตต์ ให้กำลังรวมสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกันที่ 243 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุด 530 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนสองล้อ
จุดเด่นที่สุดของ HAVAL H6 Hybrid มากับระบบ LIFE+ ซึ่งประกอบไปด้วย
L: L2 ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Level 2 มาพร้อม 22 ฟังก์ชั่นอัจฉริยะที่ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น อาทิ
1) ระบบช่วยจอดรถยนต์อัตโนมัติ 3 รูปแบบ หรือ Integration Auto Parking (IAP) ด้วยกล้อง 360 องศา และเซนเซอร์อัลตร้าโซนิค สามารถค้นหาที่จอดรถ คำนวณพื้นที่สำหรับจอดรถได้อย่างแม่นยำ
โดยสามารถช่วยจอดได้ทั้งในรูปแบบการถอยเข้าช่องจอด การจอดขนานเส้นทางเดินรถ และการจอดตามแนวเฉียง
2) ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ หรือ Auto Reversing Assistance (ARA) โดยระบบจะสามารถจดจำเส้นทางเมื่อรถขับเคลื่อนด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถถอยหลังกลับตามเส้นทางเดิมได้ในระยะทางถึง 50 เมตร
3) ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากทางด้านข้าง หรือ Wisdom Dodge System (WDS) ระบบที่ช่วยตรวจจับรถขนาดใหญ่ อาทิ รถบรรทุกในเลนติดกัน โดยรักษาระยะห่างขณะขับผ่านและเมื่อพ้นระยะแล้วสามารถกลับสู่กลางเลนตามปกติ ทำให้เร่งแซงได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งทั้ง 3 ระบบข้างต้น ถือเป็นระบบความปลอดภัยในรถยุโรประดับพรีเมียม นับได้ว่าเป็นครั้งแรกหรือ First in Class ในรถที่มีขนาดและระดับราคาเดียวกันในตลาดประเทศไทยในเวลานี้
I: Intelligence V3.5 ระบบอัจฉริยะที่ช่วยสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบโต้ตอบด้วยเสียง (Voice Interaction) ระบบอินเทอร์เน็ตอัจฉริยะ (Intelligent Internet) รวมไปถึง ระบบหน้าจออัจฉริยะ ที่ช่วยให้เชื่อมต่อและค้นหาข้อมูลการเดินทางได้อย่างชาญฉลาด
F: FOTA ระบบการอัปเกรดโปรแกรมออนไลน์ สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยการอัปเกรด Firmware ได้เองผ่านระบบออนไลน์ โดยไม่จำเป็นต้องเอารถเข้าศูนย์บริการ ไม่ว่าจะเป็น ระบบการขับขี่อัจฉริยะต่างๆ ระบบขับเคลื่อน และระบบส่งกำลัง
E: EYE Q4 ชิปอัจฉริยะที่ประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น สามารถประมวลผลภาพจากกล้องหลายตัวได้ในเวลาเดียวกัน และยังสามารถรักษาเสถียรภาพในการทำงานได้ดีหากมีการชนหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
+ (Plus) ให้คุณ “มากกว่า” ด้วยเทคโนโลยีและการออกแบบอันล้ำสมัย เช่น ระบบ GWM LEMON Hybrid DHT ซึ่ง HAVAL H6 ใช้แพลตฟอร์ม GWM LEMON ที่เป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีโมดูลาร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ความปลอดภัยสูง และน้ำหนักเบา
การออกแบบภายในโดดเด่นด้วย แผงหน้าปัดแบบลอยตัว พร้อมจอ Infotainment ขนาดใหญ่ และจอแสดงผลแบบ Head Up Display (HUD) แสดงภาพข้อมูลการขับขี่ครบครันบนกระจก รวมไปถึงพวงมาลัยไฟฟ้า Multi-Function และหลังคาพาโนรามิคซันรูฟขนาดใหญ่
เสริมความปลอดภัย ด้วยตัวถังรถที่ประกอบด้วยเหล็กกล้าที่มีความแข็งแรงสูงเป็นพิเศษ กรอบประตูเหล็กแบบขึ้นรูป พร้อมคอพวงมาลัยที่ดูดซับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และถุงลมนิรภัย 6 จุด
HAVAL H6 Hybrid ยังไม่มีการเปิดเผยราคาจำหน่ายในขณะนี้
อีกหนึ่งรุ่นที่เป็นไฮไลต์ของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ในงานนี้ คือ ORA Good Cats มาตรฐานใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากแพลตฟอร์ม GWM LEMON พร้อมกับดีไซน์ภายนอกแบบ Retro Futuristic ไฟหน้าแบบ Intelligent Multi LED และพาโนรามิคซันรูฟ พร้อมล้ออัลลูมิเนียมอัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว
ORA Good Cat สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสูงสุด 500 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง โดยมาพร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะมากมาย เช่น ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการถูกชนด้านหลัง ระบบช่วยเตือนและเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง มีระบบการเชื่อมต่อและการสั่งงานอัจฉริยะ หรือ Intelligent Connectivity ไม่ว่าจะเป็นการสั่งการด้วยเสียง รวมไปถึงการควบคุมรถจากระยะไกล เป็นต้น
ทั้งนี้ ORA Good Cat ได้รับการคาดหมายว่าจะเปิดตัวทำตลาดได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
มาเซราติ
มาเซราติ MC20 ได้รับการออกแบบเป็นเวลาถึง 2 ปีที่เมืองโมเดนา ผ่านการดีไซน์ให้สะท้อนถึงตัวตนและประวัติศาสตร์ของแบรนด์ พร้อมทั้งรองรับตัวถังแบบคูเป้, เปิดประทุน และเวอร์ชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนซึ่งจะมีตามมาในอนาคต
ขุมพลังบล็อกแรกของยุคใหม่แห่งค่ายตรีศูลมาในชื่อเรียก Nettuno เครื่องยนต์เบนซินขนาด 3.0 ลิตร วี6 สูบ ทวินเทอร์โบ กำลังสูงสุด 630 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 730 นิวตันเมตร ที่มีเทคโนโลยีโดดเด่นจนได้รับสิทธิบัตรจากสถาบันนานาชาติ เรียกว่า MTC (Maserati Twin Combustion) ซึ่งเป็นระบบสันดาปภายในอันล้ำสมัย ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาโดย มาเซราติ
จุดเด่นของเครื่องยนต์บล็อกนี้คือ ระบบเผาไหม้ช่วยเหลือ เรียกว่า (Pre-chamber Combustion System) พัฒนาจากเทคโนโลยีของรถแข่งฟอร์มูลาวัน และนำมาใช้กับเครื่องยนต์ของซูเปอร์คาร์เป็นครั้งแรก ระบบห้องเผาไหม้ช่วยเหลือจะทำหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพการจุดระเบิดในเครื่องยนต์ เพื่อรีดแรงม้าได้อย่างเต็มกำลัง
มาเซราติ MC20 มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 2.9 วินาที ความเร็วสูงสุดกว่า 325 กม./ชม. และนับเป็นเครื่องยนต์ที่ มาเซราติ ผลิตขึ้นด้วยตนเองอีกครั้ง หลังจากหยุดไปนาน 20 ปี
มาเซราติ MC20 ราคาเริ่มต้น 21.5 ล้านบาท
ซูบารุ
The All-New Outback สร้างขึ้นบนโครงสร้างตัวถังซูบารุโกลบอลแพลตฟอร์ม (Subaru Global Platform) รุ่นล่าสุด มาพร้อมกับระบบระบบขับเคลื่อนเป็นแบบสี่ล้อสมมาตร (Symmetrical All-Wheel Drive) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของซูบารุ
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ใหม่ขนาด 2.5 ลิตร กำลังสูงสุด 188 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 245 นิวตันเมตร ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม. / ชม. ใน 9.6 วินาที
จุดเด่นที่สุดของ Outback คือเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ Subaru EyeSight 4.0 ระบบกล้องคู่ใหม่เพิ่มความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ที่ได้รับขยายมุมรับภาพให้กว้างขึ้นอีก 2 เท่า พร้อมทั้งพัฒนาระบบการทำงานใหม่ เพิ่มขึ้นจากเดิม เช่น
Lane Centering Control/ Preceeding Vehicle Adaptive Steering Control ระบบบังคับรถให้อยู่กึ่งกลางถนนและระบบบังคับพวงมาลัยตามรถด้านหน้า: ประสานการทำงานร่วมกับระบบ Adaptive Cruise Control ควบคุมพวงมาลัยให้รถอยู่กึ่งกลางถนนในขณะที่ขับตามรถด้านหน้า
Pre-Collision Braking at Intersection ระบบป้องกันการเกิดอุบัติเหตุบริเวณทางแยก: มุมมองที่กว้างขึ้นทำให้กล้องสามารถตรวจสอบยานพาหนะที่ขับสวนมาในเส้นทางตรงข้าม ระบบจะช่วยเลี่ยงการชนด้วยการเบรกอัตโนมัติ Lane Departure Prevention Function ระบบบังคับพวงมาลัยอัตโนมัติ: เมื่อรถจะหลุดออกนอกเส้นถนน ระบบจะเตือน
Driver Monitoring System (DMS) ระบบตรวจสอบผู้ขับ: จะจับการเคลื่อนไหวของใบหน้า หากผู้ขับมีอาการง่วง, หลับ หรือไม่มองไปที่ถนนด้านหน้า ระบบจะแจ้งเตือนบนจอแสดงผลและส่งเสียงเตือน เพื่อให้แน่ใจว่าคนขับมีสมาธิอยู่กับถนน นอกจากนี้ ระบบ DMS ยังสามารถจดจำใบหน้าของผู้ขับละอำนวยความสะดวก โดยการปรับเบาะที่นั่ง, จอแสดงผล, กระจกมองข้าง และระบบปรับอากาศ
ซูบารุ Outback เปิดตัวด้วยราคา 2,699,000 บาท (ราคาเฉพาะตัวรถ 2,265,200 บาท ออพชันแพค 433,800 บาท)
วอลโว่
วอลโว่ XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC แม้โดยรวมจะมีความคล้ายคลึงกับ XC40 Recharge แต่ได้รับการดีไซน์ใหม่ในหลายส่วน เช่น กระจังหน้า ได้ถูกออกแบบใหม่ให้เป็นฝาครอบแบบยูนิบอดี้ติดโลโก้วอลโว่ชัดเจน ส่วนพื้นที่ใต้ฝากระโปรงหน้าซึ่งไม่ต้องติดตั้งเครื่องยนต์เชื้อเพลิง ถูกเปลี่ยนเป็นช่องเก็บสัมภาระสไตล์ใหม่ในชื่อ “ฟรังก์ (Front Trunk)” เพิ่มพื้นที่เก็บของได้มากขึ้นอีก 31 ลิตร
หัวใจในการขับเคลื่อนของ XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC เป็นมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อนแบบสี่ล้อตลอดเวลา (Dual Motor All Wheel Drive) มีกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 660 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 4.9 วินาที และทำความเร็วสูงสุดที่ 180 กม./ชม.
แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนขนาดความจุ 78 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งได้ระยะทางไกลสูงสุดกว่า 400 กิโลเมตรเมื่อชาร์จเต็ม (ตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP)
ส่วนระยะเวลาการชาร์จไฟฟ้า สามารถชาร์จด้วยเครื่องชาร์จไฟฟ้าแบบมาตรฐานที่บ้าน (Wallbox EV Changer) ขนาด 11 กิโลวัตต์ จะใช้เวลาจาก 0-100% ประมาณ 6-8 ชั่วโมง และสามารถชาร์จไฟถึง 80% ในเวลาเพียง 40 นาทีเท่านั้น ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งเวลาชาร์จไฟรถยนต์ได้อย่างง่ายดายผ่านแอปพลิเคชั่น Volvo on Call
XC40 RECHARGE PURE ELECTRIC เปิดตัวด้วยราคา 2,590,000 บาท