รถในตระกูล อี-คลาส (E-Class) คือรถที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เมอร์เซเดส-เบนซ์มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นด้านการยอมรับ ความเชื่อมั่น และยอดขายที่สูงที่สุดในบรรดารถในไลน์การขายทั้งหมด หากนับรวมตั้งแต่ยุคก่อน ปรับมาใช้ตัวอักษร E อยู่ทางด้านหน้าด้วยแล้ว รถตระกูลนี้มีอายุยาวนถึง 10 เจเนอเรชันแล้ว

สำหรับเจเนอเรชันที่ 10 ปัจจุบันเปิดตัวสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 2016 ภายใต้รหัส W213 ส่วนในเมืองไทย มีการเปิดตัวในปี 2016 เช่นเดียวกัน ล่าสุดกับการเผยโฉมเวอร์ชันไมเนอร์เชนจ์ หรือที่เบนซ์เรียกว่า เฟสลิฟต์ ตลาดโลกเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว แต่เมืองไทยเพิ่งได้ฤกษ์อย่างเป็นทางการต้นปีนี้ ปรับรุ่นย่อยเหลือเพียง 3 ทางเลือก 2 เครื่องยนต์ โดยคงราคาขายเท่าเดิม
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ต้องรอกันนานทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เชิญสื่อมวลชนให้เข้าร่วมทดลองขับกันเป็นหมู่คณะโดยจัดรถรุ่น E300e AMG Dynamic มาให้เราทดลองขับด้วยระยะทางแบบยาวๆ เต็มๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 400 กม. ไปชมกันว่าการปรับเปลี่ยนในคราวนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง

ยกหน้า-หลังใหม่
รุ่น E300e AMG Dynamic ที่เราขับ จะมีจุดเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของภายนอก คือ ไฟท้ายแบบ Full-LED รูปทรงใหม่ ซึ่งแตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน โดยมีดีไซน์คล้ายคลึงกับรุ่น เอ-คลาส ขณะที่ กระจังหน้ามาในชื่อ diamond radiator grille ได้รับการเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกันพร้อม ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์ใหม่ ที่หากดูผิวเผินจะแทบไม่ต่าง แต่หากนำมาเทียบกับโฉมก่อนหน้าจะพบว่า ไม่เหมือนกันเลย

ชุดแต่ง AMG Body styling จาก AMG Performance models ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 19 นิ้วจาก AMG และ หลังคาแก้วแบบ Panoramic Sunroof ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า โดยตำแหน่งที่ชาร์จไฟยังอยู่บริเวณท้ายรถเหมือนเช่นเดิม







ภายในห้องโดยสารดีไซน์หรูหราคงเดิม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเริ่มจาก พวงมาลัยแบบสปอร์ต ท้ายตัด 3 ก้าน ที่ได้รับการดีไซน์ใหม่โดยเฉพาะก้านที่ติดตั้งปุ่มมัลติฟังก์ชันในการควบคุมรถ เป็นระบบสัมผัสและดำเงา ส่วน Touch control มีการเปลี่ยนปุ่มควบคุมใหม่ทั้งชุดให้มีขนาดบางลงดูเรียบง่ายขึ้น พร้อมด้วยชุดตกแต่งภายในแบบ AMG Interior package ลายใหม่


หน้าปัดแสดงผลมีการปรับใหม่เป็นหน้าจอมาตรฐานแบบ 2 จอขนาด 10.25นิ้ว และมีหน้าจอ Full Digital Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ควบคู่กันพร้อมกับระบบปฏิบัติการชุดใหม่ล่าสุดของ MBUX ที่มาพร้อมกับลำโพง Burmester ดีไซน์ใหม่







ขุมพลังมี 2 ทางเลือก ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลและ เบนซินแบบ PHEV โดยคันที่เราเลือกมารีวิวในคราวนี้เป็นตัวท็อปสุดของเบนซิน PHEV ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ เทอร์โบ ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรชันที่ 3 กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบ 9G-Tronic อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.

แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนขนาด 13.5 kWh สามารถชาร์จจาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเมื่อชาร์จด้วยชุดชาร์จวอลล์บ็อกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเราได้ทดลองชาร์จเมื่อถึงที่จุดหมายที่พัทยา ส่วนการชาร์จแบบปกติธรรมดาจากชุดที่แถมมาให้นั้นใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมงขึ้นกับความเสถียรของกระแสไฟ



คนขับสนุก คนนั่งสบาย
ผู้เขียนได้ประจำการครบทุกตำแหน่งทั้งผู้ขับ ผู้โดยสาร ด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งทั้ง 3 จุดนั้นนั่งแล้วรับรู้ได้ถึงความแตกต่างกัน โดยจุดที่น่าแปลกใจคือตำแหน่งผู้โดยสารด้านหน้า ที่เรากลับรู้สึกถึงแรงสะเทือนจากผิวถนนได้ชัดเจนกว่าฝั่งคนขับ และมิใช่เพียงเราคนเดียวแต่สมาชิกอีก 2 ท่านที่ร่วมเดินทางไปด้วยต่างได้สลับมานั่งก็แสดงความเห็นว่า รับรู้ถึงแรงสะเทือนที่มากกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับการขับขี่นั้น ยังคงเอกลักษณ์ของรถแห่งดวงดาวเอาไว้ได้เหมือนเช่นเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างโดดเด่นคงเป็นเรื่องของอัตราเร่ง และพละกำลังที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ แถมยังให้ความรู้สึกที่ขับสนุกในทุกย่านความเร็วอีกด้วย เรียกว่ากดคันเร่งเมื่อใด ตัวรถพร้อมพุ่งทะยานแบบมีแรงดึงสนุกสนานได้

พวงมาลัยเบามือ การเปลี่ยนปุ่มมัลติฟังก์ชันใหม่ ไร้ปัญหาใดๆ ทุกอย่างยังคงควบคุมและสั่งการได้ง่ายดายเหมือนเดิม การขับขี่ด้วยความเร็วระดับต่ำกว่า 120 กม./ชม. ตัวรถนิ่งและทรงตัวดีมาก แทบไม่รู้สึกว่าเร็วแต่อย่างใด เสียงรบกวนน้อยมาก
ระบบช่วงล่างของเจ้า E300e นั้นไม่ใช่ระบบถุงลม(Air Suspension) นับว่าเป็นสิ่งที่ตรงจริตของเราอย่างมากและเหมาะกับสภาพของผิวถนนในเมืองไทย ที่ต้องเจอกับหลุมหรือลูกระนาดขนาดใหญ่ ทำให้รับบทหนักซึ่งชุดโช้คอัพแบบคอยล์สปริงจะทนทานและดูแลรักษาง่ายกว่าช่วงล่างที่เป็นแบบถุงลมอย่างแน่นนอน

สำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่สูงเกินกว่า 120 กม./ชม. เราได้ลองช่วงสั้น อัตราเร่งขึ้นเร็วมากแต่เป็นการขึ้นแบบเนียนๆ ไม่ดึงกระชากมากนัก การทรงตัวยังคงมั่นใจได้เต็ม100% แรงสั่งสะเทือนในตำแหน่งผู้ขับมีให้รู้สึกและเสียงลมประทะจะได้ยินชัดเมื่อความเร็วทะลุเกิน 150 กม./ชม. ขณะที่ความเร็วสูงสุดที่เราลองในคราวนี้อยู่ที่ 180 กม./ชม. อุ่นใจไร้ข้อสงสัยในสมรรถนะ เรียกว่าเป็นบรรทัดฐานของรถในคลาสนี้ได้แบบนอนมา

การนั่งทางด้านหลังคือ ให้ความรู้สึกที่สบาย ทั้งเสียงและแรงสะเทือนจากผิวถนนถ้าขับไม่เกิน 120 กม./ชม. แทบจะไม่รู้สึกแต่หากขับเกินกว่านั้นจะเริ่มรับรู้ได้ตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงระดับที่สร้างความกวนใจหากต้องการนอนหลับ ยังสามารถหลับได้สบายในทุกย่านความเร็ว โดยนั่งทางด้านหน้าจะรับรู้ถึงการสะเทือนที่เท้าได้ชัดกว่าด้านหลัง สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันสารภาพว่า ลืมดูตอนสุดท้ายที่นำรถไปคืน แต่ช่วงระหว่างการขับได้มีการกดดูเป็นระยะๆ ตัวเลขการกินน้ำมันอยู่ราว 13-15 กม./ลิตร ถือว่าประทับใจเพราะจากพฤติกรรมการขับในแบบที่เรากล่าวมามีการกดคันเร่งค่อนข้างหนักเท้า แต่ยังทำตัวเลขออกมาได้ระดับนี้ต้องยกเครดิตให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์

เหมาะกับใคร
หันมามองที่ค่าตัว 3,770,000 บาท เท่ากับโฉมก่อนหน้า ได้ฟังก์ชันหลายอย่างเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าหากเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอาจจะมีลูกเล่นน้อยกว่า แต่ขึ้นกับว่า คุณชอบลูกเล่นหรือคุณอยากได้รถที่มีสมรรถนะสูงและการยอมรับจากทุกคนในฐานะ เจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งมีภาพลักษณ์ชัดเจนว่าคุณคือ “คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต”


สำหรับเจเนอเรชันที่ 10 ปัจจุบันเปิดตัวสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 2016 ภายใต้รหัส W213 ส่วนในเมืองไทย มีการเปิดตัวในปี 2016 เช่นเดียวกัน ล่าสุดกับการเผยโฉมเวอร์ชันไมเนอร์เชนจ์ หรือที่เบนซ์เรียกว่า เฟสลิฟต์ ตลาดโลกเปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว แต่เมืองไทยเพิ่งได้ฤกษ์อย่างเป็นทางการต้นปีนี้ ปรับรุ่นย่อยเหลือเพียง 3 ทางเลือก 2 เครื่องยนต์ โดยคงราคาขายเท่าเดิม
ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ต้องรอกันนานทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ได้เชิญสื่อมวลชนให้เข้าร่วมทดลองขับกันเป็นหมู่คณะโดยจัดรถรุ่น E300e AMG Dynamic มาให้เราทดลองขับด้วยระยะทางแบบยาวๆ เต็มๆ รวมทั้งสิ้นกว่า 400 กม. ไปชมกันว่าการปรับเปลี่ยนในคราวนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง
ยกหน้า-หลังใหม่
รุ่น E300e AMG Dynamic ที่เราขับ จะมีจุดเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดของภายนอก คือ ไฟท้ายแบบ Full-LED รูปทรงใหม่ ซึ่งแตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน โดยมีดีไซน์คล้ายคลึงกับรุ่น เอ-คลาส ขณะที่ กระจังหน้ามาในชื่อ diamond radiator grille ได้รับการเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกันพร้อม ไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ดีไซน์ใหม่ ที่หากดูผิวเผินจะแทบไม่ต่าง แต่หากนำมาเทียบกับโฉมก่อนหน้าจะพบว่า ไม่เหมือนกันเลย
ชุดแต่ง AMG Body styling จาก AMG Performance models ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 19 นิ้วจาก AMG และ หลังคาแก้วแบบ Panoramic Sunroof ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า โดยตำแหน่งที่ชาร์จไฟยังอยู่บริเวณท้ายรถเหมือนเช่นเดิม
ภายในห้องโดยสารดีไซน์หรูหราคงเดิม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเริ่มจาก พวงมาลัยแบบสปอร์ต ท้ายตัด 3 ก้าน ที่ได้รับการดีไซน์ใหม่โดยเฉพาะก้านที่ติดตั้งปุ่มมัลติฟังก์ชันในการควบคุมรถ เป็นระบบสัมผัสและดำเงา ส่วน Touch control มีการเปลี่ยนปุ่มควบคุมใหม่ทั้งชุดให้มีขนาดบางลงดูเรียบง่ายขึ้น พร้อมด้วยชุดตกแต่งภายในแบบ AMG Interior package ลายใหม่
หน้าปัดแสดงผลมีการปรับใหม่เป็นหน้าจอมาตรฐานแบบ 2 จอขนาด 10.25นิ้ว และมีหน้าจอ Full Digital Widescreen Cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ควบคู่กันพร้อมกับระบบปฏิบัติการชุดใหม่ล่าสุดของ MBUX ที่มาพร้อมกับลำโพง Burmester ดีไซน์ใหม่
ขุมพลังมี 2 ทางเลือก ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลและ เบนซินแบบ PHEV โดยคันที่เราเลือกมารีวิวในคราวนี้เป็นตัวท็อปสุดของเบนซิน PHEV ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ เทอร์โบ ผสานมอเตอร์ไฟฟ้า เจเนอเรชันที่ 3 กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบ 9G-Tronic อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม.
แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนขนาด 13.5 kWh สามารถชาร์จจาก 0-100% ได้ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมงเมื่อชาร์จด้วยชุดชาร์จวอลล์บ็อกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งเราได้ทดลองชาร์จเมื่อถึงที่จุดหมายที่พัทยา ส่วนการชาร์จแบบปกติธรรมดาจากชุดที่แถมมาให้นั้นใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมงขึ้นกับความเสถียรของกระแสไฟ
คนขับสนุก คนนั่งสบาย
ผู้เขียนได้ประจำการครบทุกตำแหน่งทั้งผู้ขับ ผู้โดยสาร ด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งทั้ง 3 จุดนั้นนั่งแล้วรับรู้ได้ถึงความแตกต่างกัน โดยจุดที่น่าแปลกใจคือตำแหน่งผู้โดยสารด้านหน้า ที่เรากลับรู้สึกถึงแรงสะเทือนจากผิวถนนได้ชัดเจนกว่าฝั่งคนขับ และมิใช่เพียงเราคนเดียวแต่สมาชิกอีก 2 ท่านที่ร่วมเดินทางไปด้วยต่างได้สลับมานั่งก็แสดงความเห็นว่า รับรู้ถึงแรงสะเทือนที่มากกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับการขับขี่นั้น ยังคงเอกลักษณ์ของรถแห่งดวงดาวเอาไว้ได้เหมือนเช่นเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่างโดดเด่นคงเป็นเรื่องของอัตราเร่ง และพละกำลังที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ แถมยังให้ความรู้สึกที่ขับสนุกในทุกย่านความเร็วอีกด้วย เรียกว่ากดคันเร่งเมื่อใด ตัวรถพร้อมพุ่งทะยานแบบมีแรงดึงสนุกสนานได้
พวงมาลัยเบามือ การเปลี่ยนปุ่มมัลติฟังก์ชันใหม่ ไร้ปัญหาใดๆ ทุกอย่างยังคงควบคุมและสั่งการได้ง่ายดายเหมือนเดิม การขับขี่ด้วยความเร็วระดับต่ำกว่า 120 กม./ชม. ตัวรถนิ่งและทรงตัวดีมาก แทบไม่รู้สึกว่าเร็วแต่อย่างใด เสียงรบกวนน้อยมาก
ระบบช่วงล่างของเจ้า E300e นั้นไม่ใช่ระบบถุงลม(Air Suspension) นับว่าเป็นสิ่งที่ตรงจริตของเราอย่างมากและเหมาะกับสภาพของผิวถนนในเมืองไทย ที่ต้องเจอกับหลุมหรือลูกระนาดขนาดใหญ่ ทำให้รับบทหนักซึ่งชุดโช้คอัพแบบคอยล์สปริงจะทนทานและดูแลรักษาง่ายกว่าช่วงล่างที่เป็นแบบถุงลมอย่างแน่นนอน
สำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่สูงเกินกว่า 120 กม./ชม. เราได้ลองช่วงสั้น อัตราเร่งขึ้นเร็วมากแต่เป็นการขึ้นแบบเนียนๆ ไม่ดึงกระชากมากนัก การทรงตัวยังคงมั่นใจได้เต็ม100% แรงสั่งสะเทือนในตำแหน่งผู้ขับมีให้รู้สึกและเสียงลมประทะจะได้ยินชัดเมื่อความเร็วทะลุเกิน 150 กม./ชม. ขณะที่ความเร็วสูงสุดที่เราลองในคราวนี้อยู่ที่ 180 กม./ชม. อุ่นใจไร้ข้อสงสัยในสมรรถนะ เรียกว่าเป็นบรรทัดฐานของรถในคลาสนี้ได้แบบนอนมา
การนั่งทางด้านหลังคือ ให้ความรู้สึกที่สบาย ทั้งเสียงและแรงสะเทือนจากผิวถนนถ้าขับไม่เกิน 120 กม./ชม. แทบจะไม่รู้สึกแต่หากขับเกินกว่านั้นจะเริ่มรับรู้ได้ตามความเร็วที่เพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงระดับที่สร้างความกวนใจหากต้องการนอนหลับ ยังสามารถหลับได้สบายในทุกย่านความเร็ว โดยนั่งทางด้านหน้าจะรับรู้ถึงการสะเทือนที่เท้าได้ชัดกว่าด้านหลัง สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันสารภาพว่า ลืมดูตอนสุดท้ายที่นำรถไปคืน แต่ช่วงระหว่างการขับได้มีการกดดูเป็นระยะๆ ตัวเลขการกินน้ำมันอยู่ราว 13-15 กม./ลิตร ถือว่าประทับใจเพราะจากพฤติกรรมการขับในแบบที่เรากล่าวมามีการกดคันเร่งค่อนข้างหนักเท้า แต่ยังทำตัวเลขออกมาได้ระดับนี้ต้องยกเครดิตให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์
เหมาะกับใคร
หันมามองที่ค่าตัว 3,770,000 บาท เท่ากับโฉมก่อนหน้า ได้ฟังก์ชันหลายอย่างเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าหากเทียบกับคู่แข่งโดยตรงอาจจะมีลูกเล่นน้อยกว่า แต่ขึ้นกับว่า คุณชอบลูกเล่นหรือคุณอยากได้รถที่มีสมรรถนะสูงและการยอมรับจากทุกคนในฐานะ เจ้าของรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งมีภาพลักษณ์ชัดเจนว่าคุณคือ “คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต”