แรกเริ่มเดิมที เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ (Bentley Flying Spur W12) เปิดตัวในประเทศไทยด้วยราคาค่าตัวที่ 25.99 ล้านบาท แต่แล้วหลายท่านอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นราคาที่มีการปรับมาอยู่ที่ 18.6 ล้านบาท บอกตามตรงสิ่งนี้ไม่ใช่ การลดราคา
ย้ำอีกครั้ง การตั้งราคาใหม่ดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์ทางการขายครั้งสำคัญ ด้วยเมื่อแรกเปิดตัวเป็นรุ่นที่มีการเลือกออปชันใส่มาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาจจะมีถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ดังนั้นทาง เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของเบนทลีย์ในประเทศไทยจึงตัดสินใจ ตั้งราคาเริ่มต้นด้วยตัวพื้นฐาน และให้ลูกค้าสามารถเลือกออปชันต่างๆ ใส่เพิ่มเติมได้เองตามความต้องการ
การปรับดังกล่าวนี้ถือว่าสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเพราะ ผู้ซื้อได้รถในแบบเฉพาะอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่จำเป็นต้องจ่ายส่วนที่ไม่ได้อยากได้ ด้านผู้ขายไม่ต้องลุ้นว่ารถสั่งมาก่อนแล้วจะมีใครจองหรือไม่รวมถึงการเจรจาเงื่อนไขต่างๆ จะง่ายขึ้นตามไปด้วย นับเป็นข้อดีของการใช้กลยุทธ์แบบนี้ แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจล่วงหน้าคือ การรอ แน่นอนว่าจะต้องรอรถผลิตและส่งมาถึงอย่างเร็วที่สุดคือ 6 เดือน
สำหรับ เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ มีสิ่งใดน่าสนใจ ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ขับแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เชิญติดตามอ่านกันได้
หรูหรา ประณีต
เริ่มกันที่ดีไซน์ เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากรถต้นแบบ EXP100 GT ทั้งด้านหน้าที่มากับไฟหน้าทรงกลมแบบ LED matrix พร้อมลวดลายจิวเวอรี่ กระจังหน้าทรงตั้งขนาดใหญ่พร้อมโลโก้ Flying B แบบใหม่ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้ โดยสามารถเก็บซ่อนได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ด้านท้ายรูปทรงปราดเปรียวสไตล์สปอร์ต ท่อไอเสียคู่ และไฟท้ายรูปทรงใหม่ที่มีดวงไฟเป็นรูปตัว B ตัวถังผลิตขึ้นจากอลูมิเนียมชนะพิเศษที่ผ่านความร้อนสูงถึง 500 องศา และขึ้นรูปด้วยการใช้อากาศอัด โดยตัวรถทั้งคันทุกคันจะประกอบด้วยมือในโรงงานของเบนทลี่ย์ที่ประเทศอังกฤษ นับเป็นรถยนต์เพียงไม่กี่แบรนด์ที่ยังใช้แรงงานคนในการประกอบเช่นนี้
หัวใจในระดับโลกมากับ 2 ทางเลือกคือ เครื่องยนต์ V8 และ W12 ส่วนรุ่นที่ขายในประเทศไทย จะเป็นเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร กำลังสูงสุด 635 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ (Dual Clutch) 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.เคลมไว้ที่ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม.
ระบบการขับเคลื่อน เป็นแบบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ควบคุมด้วยสมองกลปรับเปลี่ยนเป็นการขับขี่แบบ 2 ล้อหลังได้อัตโนมัติเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของการขับขี่และมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระบบตัดการทำงานของลูกสูบที่จะใช้เพียง 6 สูบ ในกรณีเดินทางด้วยความเร็วคงที่
นอกจากนั้น เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยี แบตเตอรี่ 48V ที่ใช้ควบคุมการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Active Roll Control) ของรถทั้งคัน โดยมีระบบเลี้ยว 4 ล้อติดตั้งมาด้วย ซึ่งล้อหลังจะหักมุมเลี้ยวตามหรือสวนทางกับล้อหน้าได้ ขึ้นกับความเร็วที่ใช้ในการเข้าโค้ง
การตกแต่งภายในถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของเบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ด้วยวัสดุคุณภาพในระดับหรูหราที่สุด ผสานระบบไฮเทคต่างๆ เช่น หน้าจอคอนโซลกลาง หมุนพับเก็บได้ 3 รูปแบบ พวงมาลัยหุ้มหนังแท้และปุ่มมัลติฟังก์ชัน ที่ต้องกล่าวว่า ถ้าคุณใช้รถแบรนด์อาวดี้อยู่ คุณจะคุ้นเคยกับปุ่มเหล่านี้ รวมถึงการแสดงผลบนหน้าปัดด้วย
เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลังมากับดีไซน์ Diamond cut โดยสามารถเลือกสีและลักษณะของหนังได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับลายไม้ ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โดยเฉพาะทางด้านหลังที่สามารถนั่งแบบ 3 คนได้อย่างสบาย พร้อมหลังคาซันรูฟกระจก และเครื่องเสียงNaim ที่เป็นออปชันให้เลือกได้
แรงดั่งซูเปอร์คาร์ นุ่มนวล หรูหรา
สำหรับการทดลองขับขี่เราเน้นที่เรื่องของการใช้งานเฉกเช่นปกติทั่วไป ทั้งขับในเมืองและวิ่งออกต่างจังหวัด รวมระยะทางไป-กลับแบบวันเดียวราว 300 กว่ากิโลเมตร
การใช้งานในเมืองตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่และยาว เมื่อนั่งหลังพวงมาลัยกลับไม่มีปัญหาในเรื่องของทัศนวิสัยและขนาด ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่คล่องตัว จังหวะเลี้ยวเข้าซอยหรือเข้าตึกต่างๆ ทำได้ง่ายแบบไม่ต้องกลัวว่าจะเบียดแต่อย่างใด สิ่งนี้เป็นผลโดยตรงของระบบเลี้ยว 4 ล้อที่ช่วยให้วงเลี้ยวแคบ จะมีเรื่องกังวลบ้างคือความรู้สึกกลัวแบบมโนล้วนๆ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่อาจจะโผล่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การเก็บเสียงเป็นอีกสิ่งที่บอกได้คำเดียวว่า ประทับใจสุด ด้วยพื้นฐานทางวิศวกรรมการออกแบบตัวถังและการเลือกใช้วัสดุดูดซับเสียงที่ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการดูดซับแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่เราแทบจะไม่รู้สึกเลย แม้จะคิกดาวน์เร่งความเร็วก็ตาม
อัตราเร่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเอ่ยถึง ตัวเลขที่เคลมไว้ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด การคิกดาวน์เมื่อได้วิ่งขึ้นทางด่วน แรงดึงระดับหลังติดเบาะ ไม่น้อยหน้าซูเปอร์คาร์ และตัวรถที่ค่อนข้างนิ่ง และเหมือนถูกเขียนบทเอาไว้ บนทางด่วนมุ่งหน้าออกต่างจังหวัดมี ซูเปอร์คาร์ร่วมเครืออย่าง ลัมโบกินี่ พุ่งทะยานแซงหน้าเราไป
โอกาสแบบนี้มีเพียงครั้งเดียว เราไม่ยอมพลาด กดคันเร่งไล่ตาม แบบไม่ต้องถามหาความเร็ว หลายจังหวะที่ผลัดกันขึ้นแซง แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย มิใช่การขับแข่งกัน จนกระทั่งมีจังหวะหนึ่งเราพุ่งทะยานออกไปแบบลากยาว ทิ้งหายไปนับนาที เราจึงชะลอขับช้าๆ จนเกือบจะถึงสุดทางลงทางด่วน จึงได้เจอลัมโบกินีคันนั้นตามมาอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกจากกันไปคนละทางเมื่อออกจากทางด่วน เรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความบันเทิงที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความแรงของ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ไม่ได้น้อยหน้าซูเปอร์คาร์พันธ์แท้แต่อย่างใด
ส่วนการขับแบบทางยาวๆ สิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของรถในสไตล์จีที เพราะคุณจะได้รับความสบายตลอดการเดินทางจากระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ไม่มีอาการโยนตัวให้รู้สึก ภาพรวมจะมาในแนวของความนุ่ม หนึบ ส่วนการนั่งทางด้านหลังขอสารภาพว่า ไม่สามารถไปนั่งได้ เนื่องจากจำเป็นต้องเป็นผู้ขับตลอดการเดินทางในคราวนี้
การทรงตัวบอกตามตรงขับด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. คุณจะไม่รู้สึกว่าเร็ว และหากคุณขับที่ระดับ 140 กม./ชม. จะเหมือนการขับที่ความเร็วไม่ถึงร้อย ตัวรถทรงตัวดี นิ่ง รวมถึงการป้องกันเสียงดังรบกวนจากภายนอก จัดว่าเป็นรถที่เงียบที่สุดคันหนึ่ง เท่าที่เราได้ลองขับมา
การตอบสนองของเครื่องยนต์แบบ W12 ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นมาก เร่งแซงทันใจ และมีความเสถียรในระดับสูง การตัดต่อส่งกำลังนุ่มนวลเรียบเนียน หรือหากอยากสนุกก็สามารถทำได้ทันท่วงที เรียกว่าเป็นรถที่สร้างสรรมาได้อย่างสมดุลลงตัวทั้งความสบายและความแรง
จะว่าไปแล้วมี 2 สิ่งที่อยู่ในฟลายอิ้ง สเปอร์ แล้วขัดใจเรา ประการแรก วัสดุโครเมี่ยม ด้วยความเงาทำให้บางจังหวะเวลาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบจะสะท้อนมาเข้าตา รบกวนเวลาขับได้ และประการที่สองคือปุ่มมัลติฟังก์ชันบนพวงมาลัยนั้น ผิวสัมผัสและสัญลักษณ์ รวมถึงการแสดงผลบนหน้าปัดบ่งบอกว่าเป็นรถในเครือของโฟล์คสวาเกนอย่างชัดเจน
แน่นอนว่า รถประเภทนี้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น คือการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดมาใส่ไว้ให้ ในฐานะเรือธงของแบรนด์ ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยในด้านคุณภาพ และไม่จำเป็นต้องมองถึงความคุ้มค่า เนื่องจากรถแบบนี้ แม้สมรรถนะจะเป็นส่วนหนึ่งแต่หัวใจสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อคือ ภาพลักษณ์ ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางสังคมและรสนิยม
เหมาะกับใคร
หนึ่งในสิ่งที่แสดงสถานะทางสังคม และด้วยราคาค่าตัวที่ปรับใหม่ ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น กลายเป็น Smart Choice ของอภิมหาเศรษฐีได้เป็นอย่างดี เพราะเจ้า ฟลายอิ้ง สเปอร์ กำลังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้คุณกลายเป็นคนฉลาดเลือก ได้ทั้งความแรง หรู ขับสบาย แบบครบจบในคันเดียว
ย้ำอีกครั้ง การตั้งราคาใหม่ดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์ทางการขายครั้งสำคัญ ด้วยเมื่อแรกเปิดตัวเป็นรุ่นที่มีการเลือกออปชันใส่มาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอาจจะมีถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง ดังนั้นทาง เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของเบนทลีย์ในประเทศไทยจึงตัดสินใจ ตั้งราคาเริ่มต้นด้วยตัวพื้นฐาน และให้ลูกค้าสามารถเลือกออปชันต่างๆ ใส่เพิ่มเติมได้เองตามความต้องการ
การปรับดังกล่าวนี้ถือว่าสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเพราะ ผู้ซื้อได้รถในแบบเฉพาะอย่างที่ตัวเองต้องการ ไม่จำเป็นต้องจ่ายส่วนที่ไม่ได้อยากได้ ด้านผู้ขายไม่ต้องลุ้นว่ารถสั่งมาก่อนแล้วจะมีใครจองหรือไม่รวมถึงการเจรจาเงื่อนไขต่างๆ จะง่ายขึ้นตามไปด้วย นับเป็นข้อดีของการใช้กลยุทธ์แบบนี้ แต่จะมีสิ่งหนึ่งที่ต้องทำใจล่วงหน้าคือ การรอ แน่นอนว่าจะต้องรอรถผลิตและส่งมาถึงอย่างเร็วที่สุดคือ 6 เดือน
สำหรับ เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ มีสิ่งใดน่าสนใจ ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ขับแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เชิญติดตามอ่านกันได้
หรูหรา ประณีต
เริ่มกันที่ดีไซน์ เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบจากรถต้นแบบ EXP100 GT ทั้งด้านหน้าที่มากับไฟหน้าทรงกลมแบบ LED matrix พร้อมลวดลายจิวเวอรี่ กระจังหน้าทรงตั้งขนาดใหญ่พร้อมโลโก้ Flying B แบบใหม่ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถยนต์รุ่นนี้ โดยสามารถเก็บซ่อนได้ด้วยระบบไฟฟ้า
ด้านท้ายรูปทรงปราดเปรียวสไตล์สปอร์ต ท่อไอเสียคู่ และไฟท้ายรูปทรงใหม่ที่มีดวงไฟเป็นรูปตัว B ตัวถังผลิตขึ้นจากอลูมิเนียมชนะพิเศษที่ผ่านความร้อนสูงถึง 500 องศา และขึ้นรูปด้วยการใช้อากาศอัด โดยตัวรถทั้งคันทุกคันจะประกอบด้วยมือในโรงงานของเบนทลี่ย์ที่ประเทศอังกฤษ นับเป็นรถยนต์เพียงไม่กี่แบรนด์ที่ยังใช้แรงงานคนในการประกอบเช่นนี้
หัวใจในระดับโลกมากับ 2 ทางเลือกคือ เครื่องยนต์ V8 และ W12 ส่วนรุ่นที่ขายในประเทศไทย จะเป็นเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร กำลังสูงสุด 635 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบคลัทช์คู่ (Dual Clutch) 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.เคลมไว้ที่ 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 333 กม./ชม.
ระบบการขับเคลื่อน เป็นแบบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ควบคุมด้วยสมองกลปรับเปลี่ยนเป็นการขับขี่แบบ 2 ล้อหลังได้อัตโนมัติเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของการขับขี่และมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระบบตัดการทำงานของลูกสูบที่จะใช้เพียง 6 สูบ ในกรณีเดินทางด้วยความเร็วคงที่
นอกจากนั้น เบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยี แบตเตอรี่ 48V ที่ใช้ควบคุมการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Active Roll Control) ของรถทั้งคัน โดยมีระบบเลี้ยว 4 ล้อติดตั้งมาด้วย ซึ่งล้อหลังจะหักมุมเลี้ยวตามหรือสวนทางกับล้อหน้าได้ ขึ้นกับความเร็วที่ใช้ในการเข้าโค้ง
การตกแต่งภายในถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของเบนทลีย์ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ด้วยวัสดุคุณภาพในระดับหรูหราที่สุด ผสานระบบไฮเทคต่างๆ เช่น หน้าจอคอนโซลกลาง หมุนพับเก็บได้ 3 รูปแบบ พวงมาลัยหุ้มหนังแท้และปุ่มมัลติฟังก์ชัน ที่ต้องกล่าวว่า ถ้าคุณใช้รถแบรนด์อาวดี้อยู่ คุณจะคุ้นเคยกับปุ่มเหล่านี้ รวมถึงการแสดงผลบนหน้าปัดด้วย
เบาะนั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลังมากับดีไซน์ Diamond cut โดยสามารถเลือกสีและลักษณะของหนังได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับลายไม้ ขนาดพื้นที่กว้างขวาง โดยเฉพาะทางด้านหลังที่สามารถนั่งแบบ 3 คนได้อย่างสบาย พร้อมหลังคาซันรูฟกระจก และเครื่องเสียงNaim ที่เป็นออปชันให้เลือกได้
แรงดั่งซูเปอร์คาร์ นุ่มนวล หรูหรา
สำหรับการทดลองขับขี่เราเน้นที่เรื่องของการใช้งานเฉกเช่นปกติทั่วไป ทั้งขับในเมืองและวิ่งออกต่างจังหวัด รวมระยะทางไป-กลับแบบวันเดียวราว 300 กว่ากิโลเมตร
การใช้งานในเมืองตัวรถที่ค่อนข้างใหญ่และยาว เมื่อนั่งหลังพวงมาลัยกลับไม่มีปัญหาในเรื่องของทัศนวิสัยและขนาด ให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่คล่องตัว จังหวะเลี้ยวเข้าซอยหรือเข้าตึกต่างๆ ทำได้ง่ายแบบไม่ต้องกลัวว่าจะเบียดแต่อย่างใด สิ่งนี้เป็นผลโดยตรงของระบบเลี้ยว 4 ล้อที่ช่วยให้วงเลี้ยวแคบ จะมีเรื่องกังวลบ้างคือความรู้สึกกลัวแบบมโนล้วนๆ โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่อาจจะโผล่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การเก็บเสียงเป็นอีกสิ่งที่บอกได้คำเดียวว่า ประทับใจสุด ด้วยพื้นฐานทางวิศวกรรมการออกแบบตัวถังและการเลือกใช้วัสดุดูดซับเสียงที่ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการดูดซับแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่เราแทบจะไม่รู้สึกเลย แม้จะคิกดาวน์เร่งความเร็วก็ตาม
อัตราเร่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องเอ่ยถึง ตัวเลขที่เคลมไว้ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด การคิกดาวน์เมื่อได้วิ่งขึ้นทางด่วน แรงดึงระดับหลังติดเบาะ ไม่น้อยหน้าซูเปอร์คาร์ และตัวรถที่ค่อนข้างนิ่ง และเหมือนถูกเขียนบทเอาไว้ บนทางด่วนมุ่งหน้าออกต่างจังหวัดมี ซูเปอร์คาร์ร่วมเครืออย่าง ลัมโบกินี่ พุ่งทะยานแซงหน้าเราไป
โอกาสแบบนี้มีเพียงครั้งเดียว เราไม่ยอมพลาด กดคันเร่งไล่ตาม แบบไม่ต้องถามหาความเร็ว หลายจังหวะที่ผลัดกันขึ้นแซง แบบถ้อยทีถ้อยอาศัย มิใช่การขับแข่งกัน จนกระทั่งมีจังหวะหนึ่งเราพุ่งทะยานออกไปแบบลากยาว ทิ้งหายไปนับนาที เราจึงชะลอขับช้าๆ จนเกือบจะถึงสุดทางลงทางด่วน จึงได้เจอลัมโบกินีคันนั้นตามมาอีกครั้ง ก่อนที่จะแยกจากกันไปคนละทางเมื่อออกจากทางด่วน เรียกว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความบันเทิงที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความแรงของ ฟลายอิ้ง สเปอร์ ไม่ได้น้อยหน้าซูเปอร์คาร์พันธ์แท้แต่อย่างใด
ส่วนการขับแบบทางยาวๆ สิ่งนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นที่สุดของรถในสไตล์จีที เพราะคุณจะได้รับความสบายตลอดการเดินทางจากระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ไม่มีอาการโยนตัวให้รู้สึก ภาพรวมจะมาในแนวของความนุ่ม หนึบ ส่วนการนั่งทางด้านหลังขอสารภาพว่า ไม่สามารถไปนั่งได้ เนื่องจากจำเป็นต้องเป็นผู้ขับตลอดการเดินทางในคราวนี้
การทรงตัวบอกตามตรงขับด้วยความเร็ว 120 กม./ชม. คุณจะไม่รู้สึกว่าเร็ว และหากคุณขับที่ระดับ 140 กม./ชม. จะเหมือนการขับที่ความเร็วไม่ถึงร้อย ตัวรถทรงตัวดี นิ่ง รวมถึงการป้องกันเสียงดังรบกวนจากภายนอก จัดว่าเป็นรถที่เงียบที่สุดคันหนึ่ง เท่าที่เราได้ลองขับมา
การตอบสนองของเครื่องยนต์แบบ W12 ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นมาก เร่งแซงทันใจ และมีความเสถียรในระดับสูง การตัดต่อส่งกำลังนุ่มนวลเรียบเนียน หรือหากอยากสนุกก็สามารถทำได้ทันท่วงที เรียกว่าเป็นรถที่สร้างสรรมาได้อย่างสมดุลลงตัวทั้งความสบายและความแรง
จะว่าไปแล้วมี 2 สิ่งที่อยู่ในฟลายอิ้ง สเปอร์ แล้วขัดใจเรา ประการแรก วัสดุโครเมี่ยม ด้วยความเงาทำให้บางจังหวะเวลาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบจะสะท้อนมาเข้าตา รบกวนเวลาขับได้ และประการที่สองคือปุ่มมัลติฟังก์ชันบนพวงมาลัยนั้น ผิวสัมผัสและสัญลักษณ์ รวมถึงการแสดงผลบนหน้าปัดบ่งบอกว่าเป็นรถในเครือของโฟล์คสวาเกนอย่างชัดเจน
แน่นอนว่า รถประเภทนี้ด้วยคุณสมบัติต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น คือการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุด เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดมาใส่ไว้ให้ ในฐานะเรือธงของแบรนด์ ฉะนั้นไม่ต้องสงสัยในด้านคุณภาพ และไม่จำเป็นต้องมองถึงความคุ้มค่า เนื่องจากรถแบบนี้ แม้สมรรถนะจะเป็นส่วนหนึ่งแต่หัวใจสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจซื้อคือ ภาพลักษณ์ ซึ่งสะท้อนถึงสถานะทางสังคมและรสนิยม
เหมาะกับใคร
หนึ่งในสิ่งที่แสดงสถานะทางสังคม และด้วยราคาค่าตัวที่ปรับใหม่ ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น กลายเป็น Smart Choice ของอภิมหาเศรษฐีได้เป็นอย่างดี เพราะเจ้า ฟลายอิ้ง สเปอร์ กำลังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้คุณกลายเป็นคนฉลาดเลือก ได้ทั้งความแรง หรู ขับสบาย แบบครบจบในคันเดียว