ตลาดรถยนต์หรูส่งสัญญาณบู๊หนักตั้งแต่ต้นปี หลังเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประกาศแผนการพร้อมลุยตลาดรถยนต์หรูในประเทศไทยด้วยการเปิดตัวรถใหม่ 15 รุ่นตลอดทั้งปี ระบุโควิดรอบสองกระทบน้อย ลูกค้าปรับตัวรับมือได้ รับเลื่อนแผนEV ทำไทยเสียโอกาส ย้ำมีรถBEVผลิตจากโรงงานไทยแน่นอน แต่ยังไม่ใช่ปีนี้

นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ทั้งหมดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลกในปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,528,349 คัน โดยนับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถสร้างยอดขายเกิน 2 ล้านคันต่อปีได้สำเร็จ
สำหรับผลการดำเนินงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในปีที่ผ่านมานั้นมียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 10,613 คัน โดยมีสัดส่วนการขายแบ่งเป็นรถในกลุ่มคอมแพคราว 12% , ดรีมคาร์ 21%, ซี-อี-เอส 40% และเอสยูวี 25% ซึ่งจะมีสัดส่วนของรถแบบPHEVอยู่มากกว่า40% ของยอดขายรวมทั้งหมด ทั้งนี้หากจำแนกเฉพาะในส่วนของรถสมรรถนะสูงภายในแบรนด์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เติบโตขึ้นถึง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทำยอดขายลดลงนั้นคือ การขาดแคลนสินค้า อันเป็นผลกระทบโดยตรงมาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลโดยตรงให้ขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต รวมถึงการกักตัวผู้ที่เดินทางข้ามประเทศ ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกไป อย่างเช่นรุ่น เอ-คลาสและจีแอลเอ จากเดิมจะเปิดตัวในไตรมาสสองแต่ต้องรอขยับมาจนถึงปลายปีจึงจะออกจำหน่ายได้” นายโรลันด์กล่าว

ส่วนกลยุทธ์หลักในปีนี้มุ่งเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก โดยจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ไม่น้อยกว่า 15 รุ่น(รวมรุ่นย่อย) เพื่อให้มีสินค้าที่ตอบโจทย์ตรงกับใจลูกค้า โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่เป็นรุ่นเริ่มต้น(Entry Level)เช่น รถในตระกูล เอ-คลาส และจีแอลเอ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคหลังการเปิดตัว
นายโรลันด์ เปิดเผยว่า การแข่งขันของตลาดรถหรูในปีนี้จะมีความสนุก และมองว่าตลาดจะยังสามารถเติบโตไปได้อีก ซึ่งในปีที่ผ่านมานั้นถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เมื่อสถานการณ์ของโควิด-19 คลี่คลายลง
“เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวเร็วมากกว่าที่คาดเอาไว้ ส่วนการที่ค่ายรถจะทุ่มอัดแคมเปญลดราคาเพื่อสร้างยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำ จะกระทบกับแบรนด์และดีลเลอร์ ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำ แต่เราจะปรับปรุงการบริหารหลังบ้านใหม่ เช่น ระบบสต็อกที่ไม่ต้องให้ดีลเลอร์แบกรับภาระเยอะ ช่วยให้ดีลเลอร์มีเงินสดในมือ พยุงธุรกิจท่ามกลางภาวะวิกฤตเช่นนี้”
ด้านบริการหลังการขายมีการเพิ่มการบริการรับ-ส่งรถลูกค้าถึงที่บ้าน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้การบริการที่ดีมีมาตรฐานและปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกค้า รวมถึงมีการขยายการรับประกันเป็นกรณีพิเศษให้แก่ลูกค้าที่รถจะครบอายุในเดือนมีนาคม 2563 โดยต่ออายุให้จนถึงเดือนกันยายน ลดความกังวลใจของลูกค้าไปได้อย่างมาก

นายโรลันด์ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบที่สองนั้น มองว่าไม่รุนแรงเท่ารอบแรกเพราะประชาชนเริ่มรู้และไม่ตกใจแล้ว รวมถึงการไม่ล็อกดาวน์เกินความจำเป็น ทำให้หลายธุรกิจยังคงเดินหน้าไปต่อได้ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสบายใจให้กับลูกค้า ทั้งในส่วนของการบริการหลังการขายและก่อนการขายที่จะเน้นออนไลน์มากขึ้น
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปรียบเหมือนปุ่มเร่งเดินหน้าให้หลายสิ่งอย่างมาเร็วขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของออนไลน์ หากใครไม่ปรับตัวจะต้องหายไป เช่น ล่าสุดเราเพิ่มฟังก์ชันอัพเดตซอฟแวร์ผ่านระบบออนไลน์ให้ได้แล้ว ลดภาระลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาศูนย์บริการ ดังนั้นเราจึงจะรักษาจำนวนดีลเลอร์เอาไว้เท่านี้ แต่จะมีการเพิ่มเฉพาะศูนย์บริการอีก 2 แห่งที่สุขุมวิท และอยุธยา”
สำหรับแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชนิด BEV หลังจากที่ประกาศยุติการนำเข้ารุ่น อีคิวซี(EQC) ไปแล้ว ล่าสุดจะยังไม่มีการนำรุ่นใดเข้ามาทำตลาดในปีนี้ โดยยืนยันว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์จะดำเนินการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชนิด BEV ตามแผนเดิมด้วยการผลิตในประเทศไทยอย่างแน่นอน

ทั้งนี้การเปิดรับสมัครขอรับการส่งเสริมการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าในเฟสสองของบีโอไอที่เปิดโอกาสให้ค่ายรถซึ่งได้รับใบอนุญาตเฟสแรกไปแล้ว สามารถเข้าร่วมได้ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยมีแนวโน้มว่า สนใจจะเข้าร่วมเฟสสองด้วยเช่นกัน
“เรามองว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ควรทำก่อน เราจึงได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการติดตั้งหัวจ่ายไฟ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการ แต่ยังไม่สามารถขยายได้ตามเป้าที่วางเอาไว้เนื่องจากวิกฤตโควิดทำให้กลุ่มโรงแรมที่เป็นสถานที่ติดตั้งต้องชะลอออกไปก่อน” นายโรลันด์กล่าว
ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีการเปิดตัวรถยนต์ “อี-คลาส” รุ่นปรับปรุงใหม่ เป็นโมเดลแรกของปีนี้ โดยคงราคาจำหน่ายเท่าเดิม แต่ปรับรุ่นย่อยใหม่ให้เหลือเพียง 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่มที่ 3,190,000-3,770,000 บาท ส่วนรุ่นใหม่อื่นๆ นั้นจะทยอยตามออกมา ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นรุ่นใดบ้าง

นายโรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ทั้งหมดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลกในปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,528,349 คัน โดยนับเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่เมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถสร้างยอดขายเกิน 2 ล้านคันต่อปีได้สำเร็จ
สำหรับผลการดำเนินงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ในปีที่ผ่านมานั้นมียอดจำหน่ายทั้งสิ้น 10,613 คัน โดยมีสัดส่วนการขายแบ่งเป็นรถในกลุ่มคอมแพคราว 12% , ดรีมคาร์ 21%, ซี-อี-เอส 40% และเอสยูวี 25% ซึ่งจะมีสัดส่วนของรถแบบPHEVอยู่มากกว่า40% ของยอดขายรวมทั้งหมด ทั้งนี้หากจำแนกเฉพาะในส่วนของรถสมรรถนะสูงภายในแบรนด์ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เติบโตขึ้นถึง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
“ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทำยอดขายลดลงนั้นคือ การขาดแคลนสินค้า อันเป็นผลกระทบโดยตรงมาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลโดยตรงให้ขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต รวมถึงการกักตัวผู้ที่เดินทางข้ามประเทศ ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดตัวสินค้าใหม่ออกไป อย่างเช่นรุ่น เอ-คลาสและจีแอลเอ จากเดิมจะเปิดตัวในไตรมาสสองแต่ต้องรอขยับมาจนถึงปลายปีจึงจะออกจำหน่ายได้” นายโรลันด์กล่าว
ส่วนกลยุทธ์หลักในปีนี้มุ่งเน้นที่ลูกค้าเป็นหลัก โดยจะมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ไม่น้อยกว่า 15 รุ่น(รวมรุ่นย่อย) เพื่อให้มีสินค้าที่ตอบโจทย์ตรงกับใจลูกค้า โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่เป็นรุ่นเริ่มต้น(Entry Level)เช่น รถในตระกูล เอ-คลาส และจีแอลเอ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภคหลังการเปิดตัว
นายโรลันด์ เปิดเผยว่า การแข่งขันของตลาดรถหรูในปีนี้จะมีความสนุก และมองว่าตลาดจะยังสามารถเติบโตไปได้อีก ซึ่งในปีที่ผ่านมานั้นถือว่าได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะดีกว่าครึ่งปีแรก เมื่อสถานการณ์ของโควิด-19 คลี่คลายลง
“เศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวเร็วมากกว่าที่คาดเอาไว้ ส่วนการที่ค่ายรถจะทุ่มอัดแคมเปญลดราคาเพื่อสร้างยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำ จะกระทบกับแบรนด์และดีลเลอร์ ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่เราจะทำ แต่เราจะปรับปรุงการบริหารหลังบ้านใหม่ เช่น ระบบสต็อกที่ไม่ต้องให้ดีลเลอร์แบกรับภาระเยอะ ช่วยให้ดีลเลอร์มีเงินสดในมือ พยุงธุรกิจท่ามกลางภาวะวิกฤตเช่นนี้”
ด้านบริการหลังการขายมีการเพิ่มการบริการรับ-ส่งรถลูกค้าถึงที่บ้าน เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะได้การบริการที่ดีมีมาตรฐานและปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกค้า รวมถึงมีการขยายการรับประกันเป็นกรณีพิเศษให้แก่ลูกค้าที่รถจะครบอายุในเดือนมีนาคม 2563 โดยต่ออายุให้จนถึงเดือนกันยายน ลดความกังวลใจของลูกค้าไปได้อย่างมาก
นายโรลันด์ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบที่สองนั้น มองว่าไม่รุนแรงเท่ารอบแรกเพราะประชาชนเริ่มรู้และไม่ตกใจแล้ว รวมถึงการไม่ล็อกดาวน์เกินความจำเป็น ทำให้หลายธุรกิจยังคงเดินหน้าไปต่อได้ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างความสบายใจให้กับลูกค้า ทั้งในส่วนของการบริการหลังการขายและก่อนการขายที่จะเน้นออนไลน์มากขึ้น
“การแพร่ระบาดของโควิด-19 เปรียบเหมือนปุ่มเร่งเดินหน้าให้หลายสิ่งอย่างมาเร็วขึ้นโดยเฉพาะในส่วนของออนไลน์ หากใครไม่ปรับตัวจะต้องหายไป เช่น ล่าสุดเราเพิ่มฟังก์ชันอัพเดตซอฟแวร์ผ่านระบบออนไลน์ให้ได้แล้ว ลดภาระลูกค้าไม่ต้องเดินทางมาศูนย์บริการ ดังนั้นเราจึงจะรักษาจำนวนดีลเลอร์เอาไว้เท่านี้ แต่จะมีการเพิ่มเฉพาะศูนย์บริการอีก 2 แห่งที่สุขุมวิท และอยุธยา”
สำหรับแผนการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชนิด BEV หลังจากที่ประกาศยุติการนำเข้ารุ่น อีคิวซี(EQC) ไปแล้ว ล่าสุดจะยังไม่มีการนำรุ่นใดเข้ามาทำตลาดในปีนี้ โดยยืนยันว่า เมอร์เซเดส-เบนซ์จะดำเนินการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าชนิด BEV ตามแผนเดิมด้วยการผลิตในประเทศไทยอย่างแน่นอน
ทั้งนี้การเปิดรับสมัครขอรับการส่งเสริมการลงทุนยานยนต์ไฟฟ้าในเฟสสองของบีโอไอที่เปิดโอกาสให้ค่ายรถซึ่งได้รับใบอนุญาตเฟสแรกไปแล้ว สามารถเข้าร่วมได้ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์อยู่ระหว่างการพิจารณาโดยมีแนวโน้มว่า สนใจจะเข้าร่วมเฟสสองด้วยเช่นกัน
“เรามองว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการเพิ่มจำนวนของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ควรทำก่อน เราจึงได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในการติดตั้งหัวจ่ายไฟ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการ แต่ยังไม่สามารถขยายได้ตามเป้าที่วางเอาไว้เนื่องจากวิกฤตโควิดทำให้กลุ่มโรงแรมที่เป็นสถานที่ติดตั้งต้องชะลอออกไปก่อน” นายโรลันด์กล่าว
ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีการเปิดตัวรถยนต์ “อี-คลาส” รุ่นปรับปรุงใหม่ เป็นโมเดลแรกของปีนี้ โดยคงราคาจำหน่ายเท่าเดิม แต่ปรับรุ่นย่อยใหม่ให้เหลือเพียง 3 รุ่นย่อย ราคาเริ่มที่ 3,190,000-3,770,000 บาท ส่วนรุ่นใหม่อื่นๆ นั้นจะทยอยตามออกมา ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นรุ่นใดบ้าง