ถึงเวลาของความเปลี่ยนแปลงแล้วสำหรับ HR-V ซับคอมแพ็กต์ SUV รุ่นดังของฮอนด้าโดยในตลาดญี่ปุ่นมีการเปิดตัวโมเดลเชนจ์ของรถยนต์รุ่นนี้ออกมา พร้อมการพลิกโฉมครั้งใหม่สู่ความสปอร์ต โดยที่ยังคงเอกลักษณ์มือเปิดประตูหลังที่ถูกวางเอาไว้ที่ตำแหน่งใกล้เสาหลังเหมือนเดิม และในญี่ปุ่นที่ขายด้วยชื่อ Vezel ชูโรงรุ่นไฮบริดที่เรียกว่า e:HEV ที่มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อเป็นตัวเด่น
สำหรับ HR-V ถือเป็นผลผลิตใหม่ของฮอนด้าที่เอาชื่อเดิมกลับมาทำใหม่ ซึ่งชื่อนี้เคยถูกใช้อยู่กับ SUV ที่มีระดับต่ำกว่า CR-V และขายในช่วงปี 1998-2006 ก่อนที่จะหายไปและกลับมาอีกครั้งในปี 2013 ซึ่งจะถูกนับเป็นเจนเนอเรชันต่อเนื่องชื่อนี้ เพียงแต่ในรุ่นที่ 2 นั้นจะมีทำตลาดทั่วโลก และในญี่ปุ่นจะใช้ชื่อว่า Vezel ขณะที่ตลาดโลกจะใช้ชื่อว่า HR-V ซึ่งย่อมาจาก Hi-Rider Revolutionary Vehicle
สำหรับรุ่นที่ 3 ของ HR-V หรือรุ่นที่ 2 เมื่อนับตามชื่อ Vezel นั้นจะเริ่มขายในญี่ปุ่นเดือนเมษายนนี้ และมาพร้อมกับการพลิกโฉมครั้งสำคัญในการนำเสนอภาพลักษณ์ที่เปี่ยมด้วยความสปอร์ตมากกว่ารุ่นเดิม โดยพยายามสร้างรูปทรงของตัวรถให้เหมือนกับ Coupe-Look ด้วยการออกแบบเสาหลังให้มีการลาดเทมาทางด้านหน้ามากขึ้น ส่วนล้อแม็กจากโรงงานจะมีให้เลือกทั้งขนาด 16-18 นิ้วขึ้นอยู่กับรุ่นย่อยซึ่ง Vezel ที่ขายในญี่ปุ่นจะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย คือ e: HEV Z e : HEV X e :HEV PLaY และ G
ตรงนี้น่าสนใจเพราะจากข้อมูลที่มีทั้งหมดฮอนด้าจะมุ่งเน้นไปที่ 3 รุ่นแรกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดแบบ e : HEV ที่มีเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 1,500 ซีซี ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด และมีทั้งรุ่นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ 4 ล้อ ขณะที่เครื่องยนต์เบนซินแบบเพียวๆ ที่ใช้ชื่อว่า G ยังไม่มีรายละเอียดของขุมพลังที่ใช้ในการขับเคลื่อนออกมา แต่ก็มีขายทั้งแบบล้อหน้าและ 4 ล้อเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ต้องรอดูว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 1,800 ซีซี หรือ 4 สูบ 1,500 ซีซี เทอร์โบกัน แต่ถ้าดูจากตำแหน่งทางการตลาดและสเป็กที่มาพร้อมกับล้อ 16 นิ้ว โอกาสเป็นเครื่องยนต์ 1,800 ซีซีเหมือนกับรุ่นเดิมก็มีสูง
ฮอนด้า ดึงความสวยของการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกให้เด่นสะดุดตาขึ้นมาด้วยไฟหน้าทรงเหลี่ยมที่มีขนาดเพรียวและไม่ใหญ่มาก ซึ่งจะสอดรับกับกระจังหน้าที่เป็นซี่แนวนอนขนาดใหญ่และยาวลึกจนเกือบถึงชายล่างของกันชนหน้า สำหรับในแง่ของรายละเอียดในเชิงมิติตัวถังนั้น ทางฮอนด้ายังไม่ได้เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งน่าจะต้องรอให้ถึงช่วงเวลาการจำหน่ายจริง
สำหรับภายในห้องโดยสารเน้นการออกแบบตามแนวคิด Human Machine Interface เน้นความสะดวกสบายในการใช้งานของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร และในรุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมหลังคากระจกพาโนรามิกแบบ 2 ส่วนเหมือนเดิม โดยตรงกลางแผงหน้าปัดจะมีหน้าจอขนาดใหญ่สำหรับทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการควบคุมระบบต่างๆ ภายในรถยนต์ผ่านทางระบบ Honda Connect ส่วนเบาะหลังให้ความสะดวกกับการปรับแบบพับลงทั้งหมดเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระหรือจะพับแค่บางส่วนในแบบ 60/40 ก็ได้
ทุกรุ่นมีการติดตั้ง Honda SENSING มาจากโรงงานเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเลย โดยในส่วนประกอบที่อยู่ในชุดนั้นจะมีทั้งระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ที่สามารถทำงานขณะรถติดได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น รวมถึงระบบป้องกันการชนด้านหน้า Collision Mitigation Braking (CMBS), ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน Lane Keeping Support System (LKAS) และระบบอ่านป้ายจราจร
เดือนเมษายนนี้จะเริ่มวางขายในญี่ปุ่นแล้ว และน่าจะได้ราคาพร้อมสเป็กที่ละเอียดมากกว่านี้ ส่วนตลาดโลกน่าจะรอหลังจากญี่ปุ่นอีกสัก 2-3 เดือน