เปิดตัวให้เห็นหน้าตาในงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนตุลาคม 2019 ตอนนี้ Mazda พร้อมส่ง MX-30 ลงสู่ตลาดแล้วเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางด้วยการขับเคลื่อนในแบบพลังไฟฟ้าซึ่งสามารถแล่นทำระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งได้ประมาณ 200 กิโลเมตร ถือเป็นตัวเลขที่เกินค่าเฉลี่ยการขับรถยนต์ของชาวยุโรปที่เป็นลูกค้าหลักของรถยนต์รุ่นนี้อยู่เยอะพอสมควร
มาสด้า MX-30 มากับตัวถังแบบ 4 ประตูที่เปิดในลักษณะ Suicide Door ตัวถังมีความยาว 4,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร สูง 1,570 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,655 มิลลิเมตร โดยมาพร้อมกับแบตเตอรี่แบบ Li-Io ขนาด 35.5 kWh
ภายใต้ปรัชญา “Car as Art” ทำให้ มาสด้า MX-30 ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงความสำคัญของการยกระดับคุณค่าทางด้านศิลปะ และถูกพัฒนาเพื่อต่อยอดแนวทางการออกแบบที่สะท้อนผ่านภาษาการออกแบบที่มีสไตล์ในแบบฉบับ Kodo Design—Soul of Motion ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Human Modern” จึงมุ่งเน้นการออกแบบบนพื้นฐานความสง่างาม เสมือนงานที่ทำด้วยมือในแบบฉบับของ Kodo แต่ยังสอดคล้องกับค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ๆ
พื้นที่ภายใน และบริเวณคอนโซลกลาง ทำให้ห้องโดยสารของมาสด้า MX-30 ดูกว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการคัดสรรวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเช่น วัสดุลายไม้ และผ้าที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล โดยดึงเอาจุดเด่นด้านความเป็นธรรมชาติ เพื่อออกแบบพื้นที่ภายในที่ให้ความรู้สึกสบาย รวมทั้งเลือกใช้ประตูแบบ Free Style เพื่อให้สามารถใช้งานในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างหลากหลาย
รุ่นจำหน่ายจริงจะมาพร้อมกับขุมกำลัง e-Skyactiv ขับเคลื่อนล้อหน้าซึ่งมีกำลัง 145 แรงม้า โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous และแบตเตอรีลิเธียมไอออน ซึ่งจะให้ระยะการเดินทาง 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จจากการทดสอบ WLTP ซึ่งแม้จะเป็นระยะทางที่ไม่สูงนัก แต่ทางมาสด้า ก็บอกว่าเป็นระยะที่มากเกินพอสำหรับสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าชาวยุโรป ซึ่งปกติแล้วจะมีระยะการเดินทางทั่วไปเฉลี่ยประมาณ 50 กิโลเมตรต่อวัน ในขณะที่แบตเตอรี่จะสามารถชาร์จพลังงานได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาประมาณ 40 นาทีด้วยการชาร์จแบบเร็ว
แม้ว่าไลน์การผลิตรถยนต์รุ่นนี้จะอยู่ที่โรงงานในญี่ปุ่น แต่กลุ่มลูกค้าหลักที่ถือว่าจะได้สัมผัส MX-30 คือ คนยุโรปที่มีอัตราการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ