กว่า 12 ปีที่ ซูซูกิ แครี่ ทำตลาดในประเทศไทย นับเป็นครั้งแรกที่มีการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่หมดจดทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังและเครื่องยนต์ รวมถึงหน้าตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ได้ทดลองขับพิสูจน์สมรรถนะ เจ้า ซูซูกิ แครี่มาเป็นที่เรียบร้อย มาดูกันว่า ค่าตัว 385,000 บาท คุ้มค่าหรือไม่ ประการใด
ใหม่หมดจด เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ต้องเรียกว่า ใหม่หมดทั้งคันจริงๆ ตั้งแต่ภายนอกจรดภายใน โครงสร้างตัวถังใหม่ ใหญ่ขึ้นทุกมิติ กระบะท้ายแบบพื้นเรียบเปิดได้ 3 ด้าน ยาวถึง 2.45 เมตร รองรับน้ำหนักบรรทุกสูงสุด 945 กิโลกรัม ด้วยช่วงล่างหลังแบบคานแข็งแหนบ 5 ชั้นวางบนเพลา ช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท
เครื่องยนต์ใหม่ รหัสK15B ตัวเดียวกับที่อยู่ในรุ่นเออร์ทิก้า และจิมนี่ ขนาดความจุ 1,462 ซีซี กำลังสูงสุด 97 แรงม้า แรงบิด 135 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดเพียง 4.4 เมตร อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ย 13.3 กิโลเมตร/ลิตร การปล่อยไอเสีย 173 กรัม/กิโลเมตร เติมน้ำมันชนิด อี20 ได้
ภายในห้องโดยสาร นั่งได้ 2 คน เบาะผู้โดยสารเป็นแบบยึดติดกับตัวถัง ส่วนเบาะคนขับสามารถปรับขยับเลื่อนได้ ขณะที่คอนโซลหน้า ออกแบบใหม่มีช่องเก็บของหลายจุด ช่วยให้เก็บสัมภาระได้อย่างสะดวกขึ้น รวมถึงการติดตั้งวิทยุมาให้เป็นมาตรฐานทุกคัน นับว่า ถูกใจพนักงานขับรถและเด็กติดรถอย่างแน่นอน
เบาะนั่งปรับเลื่อนระยะได้ แต่ไม่สามารถปรับความชันของเบาะได้ ส่วนเครื่องยนต์อยู่ใต้ที่นั่ง และมีการขยับฐานล้อให้ซุ้มล้อมาอยู่ตรงกับประตู ข้อด้อย คือ ทำให้ผู้ขับรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้โดยตรงมากกว่ารุ่นก่อน แต่ก็มีข้อดี คือ มีพื้นที่สำหรับวางเท้าตรงคันเร่ง สบายขึ้น ไม่ติดซุ้มเหมือนโฉมที่แล้ว
ขับสนุก บรรทุกคล่อง
การทดลองขับ ซูซูกิ แคร์รี่ นั้น เรียกว่าเป็นการจำลองการใช้งานจริง โดยให้เราบรรทุกของท้ายรถด้วย น้ำหนักรวมประมาณ 200 กิโลกรัม เส้นทางไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา ขับสลับกับการนั่งเป็นเด็กติดรถ เราเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กติดรถก่อน
ภาพรวมนั่งสบายดี รับรู้ได้ถึงเสียงทุกอย่างจากภายนอก แอร์เย็น มีเพลงให้ฟังตลอดทาง ตัวรถหากวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. เด็กติดรถอย่างเราจะรู้สึกได้ว่า รถวิ่งเร็ว การดูดซับแรงสะเทือนทำได้ตามมาตรฐานของรถส่งของ จะให้นุ่มเหมือนรถเก๋งหรือปิกอัพแบบสี่ประตูคงไม่ใช่ แต่ถ้าเทียบกับกระบะหัวเดียวแล้วถือว่าใกล้เคียงกัน
เมื่อถึงจุดสลับเปลี่ยนมาเป็นผู้ขับ สิ่งแรกที่รู้สึกได้ คือ คลัชท์ เบาเท้าดี แต่ค่อนข้างลึกสักหน่อย ขับขี่ออกตัวไปแบบสบายๆ ความเร็วที่เราใช้อยู่ราว 80-100 กม./ชม. รถขับได้มั่นใจดี ทางตรงนิ่งดี ทางโค้งมีเหวี่ยงในแบบกระบะทรงสูง แม้จะมั่นใจว่าไม่หลุด แต่ไม่ควรใช้ความเร็วสูงในการเข้าโค้งหากบรรทุกของจำนวนมากหรือต่อเป็นตู้สูง
บางช่วงบางตอนผู้เขียนลองวิ่งหาความเร็วสูงสุด เราทำได้ที่ 140 กม./ชม. เสียงลมค่อนข้างดัง และรู้สึกว่าตัวรถเบาเกินไป รับรู้ได้ชัดถึงอาการลมตีใต้ท้องรถ ดังนั้น ขอแนะนำให้วิ่งด้วยความเร็วไม่เกินที่กฎหมายกำหนดจะเหมาะสมที่สุด ขณะที่สื่อบางท่านสามารถทำได้ถึง 155 กม./ชม.
เมื่อเข้าสู่ช่วงการขับในตัวเมืองที่มีรถพลุกพล่าน เราเข้าใจถึงหัวอกพนักงานขับรถเลยว่า ทำไมเขาถึงขับแบบนั้น เพราะเราขับไม่ต่างจากพวกเขาเลย ทั้งในจังหวะเร่งแซง เปลี่ยนเลนแบบรวดเร็ว ด้วยเพราะคุณสมบัติของตัวรถที่หน้าสั้น ทัศนวิสัยดี ขับสนุก เร่งทันใจ คล่องตัว ซอกแซกไปได้แบบมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อเป็นเกียร์ธรรมดา จังหวะเปลี่ยนเกียร์เร่งความเร็ว พุ่งขึ้นทันใจดีทีเดียว
พวงมาลัยแบบไฟฟ้า ทำให้การขับขี่ในเมืองสบายมือ และด้วยรัศมีวงเลี้ยวที่แคบเพียง 4.4 เมตร ทำให้ ซูซูกิ แคร์รี่ คล่องตัวเมื่อต้องกลับรถในที่แคบ ยิ่งหากคุณเป็นพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนัด หรือตามงานแสดงสินค้าต่างๆ แคร์รี่จะคล่องตัวอย่างยิ่งในพื้นที่จำกัดแบบนั้น
ซูซูกิ แคร์รี่ จำนวนไม่น้อย ซื้อรถมาแล้วทำการดัดแปลงเป็น ฟู้ดทรัค หรือรถขายอาหาร ที่ต้องบอกว่าเหมาะสมมาก ด้วยกระบะท้ายเรียบและรถหน้าสั้น สามารถต่อเติมดัดแปลงได้อย่างหลายหลากรูปแบบตามความต้องการ สนนราคาค่าตัวรถที่ย่อมเยาเพียง 385,000 บาท และไม่ต้องคิดมากเพราะมีให้เลือกเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
เหนืออื่นใด ด้วยความเป็นรถส่งของแบบชัดเจนเช่นนี้ จะมีข้อดีสำหรับผู้ประกอบการ คือ ไม่ต้องกังวลว่า ลูกน้องจะแอบนำรถไปใช้งานนอกเวลาทำงาน หรือเอาไปซิ่งเพื่อรับสาว ขอให้สบายใจได้
เหมาะกับใคร
ชัดเจนด้วยคุณลักษณะของตัวรถ ถูกสร้างมาเพื่อการบรรทุกและสามารถดัดแปลงเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ได้ เหมาะกับคนที่กำลังสร้างตัว หรือมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ต้องการหารถไว้เพื่อทำเงิน สร้างรายได้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ซูซูกิ แคร์รี่ สามารถตอบโจทย์ได้อย่างลงตัวที่สุด
