สถานการณ์ตลาดรถยนต์ไทยในปี 2562 ผ่านพ้นครึ่งปีแรกไปอย่างชนิดที่มี “รอยยิ้มบนหยาดเหงื่อ” ด้วยตัวเลขปริมาณการขายรวมที่ 523,770 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 7.1% ทำให้ทุกค่ายยังคงมองตลาดของไทยเป็นมุมบวก แต่มิวายต้องลงแรงอัดแคมเปญกันชนิดมีให้เห็นกันทุกเดือน
-เป้าขายทั้งปี 330,000 คัน
สำหรับเจ้าตลาดอย่าง โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ผ่านครึ่งแรกของปีนี้มาอย่างชื่นมื่น ด้วยยอดขาย 171,502 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 20.8% ครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 32.7% ซึ่งปัจจัยที่ดันให้ยอดขายพุ่งทะลุได้ขนาดนี้ ชัดเจนว่ามาจากกลุ่มของรถกระบะ 1 ตัน หลังการเปิดจำหน่าย ไฮลักซ์ รีโว่ แซด อิดิชัน หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “ตัวเตี้ย หน้าหล่อ”
\เจ้าตัวเตี้ย หน้าหล่อนั้น สามารถช่วยให้ยอดขายของกลุ่มกระบะ 1 ตัน เพิ่มขึ้นถึง 32.7% มาอยู่ที่ยอดขาย 84,806 คัน ครองส่วนแบ่งตลาดได้มากถึง 37.6% หรือง่ายๆ ว่า 1 ใน 3 ของรถที่ขายจะเป็นโตโยต้าไฮลักซ์ รีโว่
ขณะที่เป้าหมายการขายในปีนี้ โตโยต้า วางเป้าไว้มากถึง 330,000 คัน จากตลาดรวมที่คาดว่าจะทำยอดได้ทั้งสิ้น 1,000,000 คัน ซึ่งเป็นการมองในมุมที่ปลอดภัย โดยลดลงจากปีก่อนหน้าราว 4% คือมองว่า ภาพรวมตลาดยอดขายจะยังคงถึง 1 ล้านคันได้ แต่ไม่น่าที่จะขยายตัวมากกว่าปีก่อนหน้าที่มียอดขายราว 1,040,000 คัน
ทั้งนี้ เป้าหมายของโตโยต้ากับการขายให้ได้ถึง 330,000 คัน นั่นหมายความว่า ครึ่งปีหลังยังมีการบ้านให้ต้องทำอีกอย่างน้อย 160,000 คัน เพื่อบรรลุเป้าหมาย แล้วจะมีอะไรเป็นทีเด็ดหรือกลยุทธ์ที่น่าสนใจบ้าง
\\
-เสริมทัพรถใหม่ 3 รุ่นเด่น..ไม้เด็ด “โคโรลล่า อัลติส”
สำหรับรถรุ่นใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโมเดลเด็ดๆ ที่เป็นไฮไลท์อยู่ 2 ตัวทีเด็ด ขณะเดียวกันรุ่นพิเศษและรุ่นอื่นจะทยอยออกมาเป็นระยะ บางรุ่นเปิดตัวมา มิได้ทำเพื่อสร้างยอดขายเป็นกอบเป็นกำ แต่ออกมาเพื่อทำให้อีกรุ่นหนึ่งขายดี หรือทำเพื่อเสริมสร้างภาพลักษณ์และกระตุ้นตลาดไม่ให้นิ่ง อันเป็นกลยุทธ์ที่โตโยต้าทำสำเร็จมาแทบทุกครั้ง
ก่อนจะถึงคิวของพระเอกเปิดตัว โตโยต้า อุ่นเครื่องด้วยการแนะนำ “โตโยต้า มาเจสตี้” ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการที่มาแทน โตโยต้า เวนจูรี่ หรือเวอร์ชันหรูหราของ คอมมิวเตอร์ นั่นเอง ซึ่งโตโยต้าเพิ่งจะเปิดตัว คอมมิวเตอร์ อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว โดยมีกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยม ยอดจองกว่า 2,600 คัน ทำให้ลูกค้าต้องรอรถคอมมิวเตอร์นานถึง 2 เดือน
โตโยต้า มาเจสตี้ เป็นที่รู้จักก่อนหน้านี้ ในชื่อ “เวนจูรี่” และบางประเทศใช้ชื่อ “แกรนเวีย” ในการทำตลาด ซึ่งจะเป็นรถยนต์ที่อาศัยโครงสร้างพื้นฐานจากรุ่น คอมมิวเตอร์ เครื่องยนต์แบบดีเซลขนาด 2.8 ลิตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ โดยจะได้รับการปรับปรุงเบาะนั่งให้มีความเป็นรถเอนกประสงค์ 7-9 ที่นั่ง ดังนั้น จึงมีราคาสูงกว่าคอมมิวเตอร์ เนื่องจากต้องเสียภาษีและจดทะเบียนในอัตรารถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่สามารถจดเป็นรถเพื่อการพาณิชย์ได้
ขณะที่ต่อมาจะเป็นคิวของการเปิดตัว “โตโยต้า ซูปร้า” รถสปอร์ตระดับตำนานที่ได้รับการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่เพื่อมาทำตลาดในส่วนของรถสปอร์ต ที่โตโยต้า ประเทศไทย ไม่มีรถประเภทนี้จำหน่าย ขณะที่ในตลาดโลกนั้น โตโยต้า ซูปร้า เป็นที่จับตามองอย่างยิ่งในการนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งร่วมยุค 90 ที่กลับมาเกิดใหม่ อย่าง นิสสัน จีทีอาร์ และ ฮอนด้า เอ็นเอสเอ็กซ์
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โตโยต้า ซูปร้า โฉมนี้ เป็นโครงการที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง โตโยต้า และบีเอ็มดับเบิลยู โดยที่ บีเอ็มดับเบิลยู นั้น จะขายในชื่อของ แซด4 (Z4) ซึ่งจะเป็นรถแบบเปิดประทุน ขณะที่โตโยต้า ซูปร้า จะมากับเวอร์ชันคูเป้ หลังคาแข็ง
ส่วนในแง่ของการผลิตทั้ง 2 รุ่น ของทั้ง 2 แบรนด์จะออกจากโรงงานเดียวกันที่ประเทศออสเตรีย ดังนั้น ในแง่ของคุณภาพการผลิตแล้วจึงมั่นใจได้ว่า ไม่แตกต่าง ที่เหลือคงเป็นเรื่องราวของการตลาดและการสร้างแบรนด์ ให้กับตัวโปรดักซ์ ซึ่งการทำตลาดโตโยต้า ซูปร้า ในประเทศไทยนั้น จะสอดคล้องกับแนวทางของโตโยต้า ทั่วโลก ที่ใช้ GR หรือ Gazoo Racing หน่วยงานมอเตอร์สปอร์ตใหม่ของโตโยต้า ที่สร้างภาพลักษณ์ด้านสมรรถนะที่มีความเป็นสปอร์ตให้กับโมเดลต่างๆ
โตโยต้า ซูปร้า ได้รับการคาดหมายว่า จะทำตลาดในไทย ด้วยเครื่องยนต์เดียว คือ แบบ 6 สูบแถวเรียง เทอร์โบ ความจุ 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดจาก ZF โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านบาทบวกลบ โดยต้องรอดูตอนเปิดตัวอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับไฮไลท์ที่สุดในปีนี้ คงต้องยกให้การเปิดตัว “โตโยต้า โคโรลล่า” ซึ่งแต่เดิมนั้น มีแผนที่จะปรากฎโฉมในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ แต่ด้วยปัจจัยหลายประการทำให้มีการขยับการเปิดตัวออกไปอยู่ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องรอนาน โตโยต้า หยิบกลยุทธ์ที่เคยใช้สำเร็จมาแล้วหลายครั้ง เอามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยการ “เปิดรับจองสิทธิ์” ในการจองเป็นเจ้าของ โคโรลล่า อัลติส โฉมใหม่ ซึ่งอนุญาตให้ ดีลเลอร์ สามารถดำเนินการรับจองสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี้
กลยุทธ์นี้ ถือว่า วิน-วินทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่มีความต้องการจะซื้ออยู่แล้ว จะได้ทราบกรอบราคาและรุ่นย่อยคร่าวๆ แล้ว ส่วนฝ่ายผู้ผลิตเองได้ทราบความต้องการของลูกค้า ทำให้วางแผนการผลิตรุ่นย่อยต่างๆ ได้ตรงกับที่ลูกค้าสั่ง รวมถึงยังเป็นการสกัดคู่แข่งไปได้ด้วยในตัว กรณีที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจว่าจะซื้อดีหรือไม่ เมื่อทราบข่าวดังกล่าว ส่วนใหญ่จะรอดูคันจริง รวมถึงรอโปรโมชั่นจากค่ายคู่แข่งด้วย ซึ่งมักจะออกมาในเวลาเช่นนี้
ขณะเดียวกัน คู่แข่งโดยตรงของ โตโยต้า โคโรลล่า คงจะมี 2 ชื่อ คือ ฮอนด้า ซีวิค และ มาสด้า 3 โดย ฮอนด้า ซีวิคนั้น คาดว่าจะมีการขยับเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ออกมา ส่วน มาสด้า 3 ถึงเวลาของการโมเดลเชนจ์ เปลี่ยนโฉมใหม่เช่นเดียวกับ โคโรลล่า พอดี ดังนั้น ตลาดรถขนาดคอมแพคซีดาน ของไทย ครึ่งปีหลังนี้ รับประกันว่า สู้กันสนุกแน่นอน
ถึงบรรทัดนี้ 3 โมเดลหลักในการปลุกตลาดรถยนต์ให้คึกคักของพี่ใหญ่ โตโยต้า พร้อมกับแคมเปญที่จะทยอยตามออกมาควบคู่กัน จะสามารถนำพายอดขายให้บรรลุถึงเป้า 330,000 คัน ได้หรือไม่ ต้องจับตาดู