xs
xsm
sm
md
lg

เทคโนโลยีไฮบริดมาแรง ซูเปอร์คาร์ลงสนามเพียบ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์







สำหรับ Ferrari อาจจะเป็นครั้งแรกของพวกเขาในการก้าวข้ามจากการผลิตรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาสู่การใช้ขุมพลังแบบไฮบริดในรูปแบบเสียบปลั๊กชาร์จได้หรือ PHEV แต่สำหรับตลาดซูเปอร์คาร์นั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ของใหม่อะไรเลย เพราะหลายแบรนด์ได้กลั้นใจก้าวข้ามกำแพงที่เคยหวาดกลัวว่า ลูกค้าจะไม่ยอมรับกันมาแล้ว และมีผลผลิตในแบบซูเปอร์คาร์พลังไฮบริดออกขายกันแล้ว

วันนี้ เรามาทบทวนกันว่า ในตลาดซูเปอร์คาร์ที่มีอยู่นี้ มีแบรนด์ไหนบ้างที่ใช้ขุมพลังแบบไฮบริดในรูปแบบต่างๆ ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยทำงาน และมีแบตเตอรี่เอาไว้เก็บพลังงาน
Ferrari PHEV
BMW i8



BMW i8


รหัส i ของค่าย BMW ที่หันมาเน้นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งพวกเขาเปิดตัว 2 รุ่นแรกกับรถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ i3 ส่วนตลาดรถสปอร์ตไฮเอนด์มาในชื่อ i8 ที่เปิดตัวในปี 2014 โดยเป็นการผสมผสานการทำงานของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 1,500 ซีซี เทอร์โบที่รีดกำลังออกมาได้ 231 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 131 แรงม้า โดยตัวรถสามารถแล่นในโหมด EV ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ระยะทาง 37 กิโลเมตร และเมื่อเติมน้ำมันจนเต็มและชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม ตัวรถสามารถแล่นได้ไกลถึง 530 กิโลเมตรเลยทีเดียว





Porsche 918 Spyder




Porsche 918 Spyder



ผลผลิตที่ถูกสร้างขึ้นมาจำนวน 918 คันในระหว่างปี 2013-2015เป็นการผสานเอาเทคโนโลยีจากสนามแข่ง F1 ของทีม Williams ที่ Porsche เป็นพันธมิตรเข้ามาใช้ในการสร้างความเร้าใจให้กับรถสปอร์ตเปิดประทุน ซึ่งตัวรถมาในแบบเปิดประทุนและมีขุมพลังไฮบริด วางอยู่กลางลำ โดยใช้เครื่องยนต์วี8 ขนาด 4,000 ซีซีทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน พร้อมกับมีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยในการทำงาน สามารถรีดกำลังออกมาได้875 แรงม้า โดยที่ตัวรถสามารถแล่นในโหมด EV ทำระยะทางได้19กิโลเมตร




McLaren Speedtail






McLaren Speedtail



ผลผลิตใหม่ล่าสุดของ McLaren ที่เปิดตัวออกมาเมื่อปลายปี 2018 พร้อมความเร้าใจของรูปลักษณ์ภายนอกและสมรรถนะที่ไม่ธรรมดา ซึ่ง McLaren ระบุรายละเอียดของเครื่องยนต์เพียงเป็นเครื่องไฮบริดใช้พลังงานจากน้ำมันร่วมกับไฟฟ้าโดยจะมีกำลังรวม 1,050 แรงม้า มีความเร็วสูงสุด 403 กม./ชม. แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไว้ ขณะที่อัตราเร่งไม่ได้บอกช่วง 0-100 กม./ชม. แต่ระบุว่าใช้เวลา 12.8 วินาทีเพื่อเร่งจาก 0-300 กม./ชม. และมีโหมด Velocity Active Control ที่ลดความสูงของรถลง 35 มม. จนส่วนที่สูงที่สุดของรถมีความสูงจากถนน 1,120 มม. เพื่อสมรรถนะการขับสูงสุด โดยจะมีการผลิตออกสู่ตลาด 106 คันๆ ละ 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่งทั้งหมดถูกจองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว






Honda NSX






Honda NSX



เจนเนอเรชั่นที่ 2 ของซูเปอร์คาร์สายพันธุ์ญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากจะมากับรูปลักษณ์ที่สวยสปอร์ตขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมกับสมรรถนะในการขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฮบริดที่เป็นการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์เทอร์โบคู่วี6 ขนาด 3,500 ซีซี ที่มีกำลัง 500 แรงม้า และมีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวติดตั้งอยู่บนเพลาหน้า และเพลาท้ายสำหรับช่วยในการขับเคลื่อน และชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในระบบ ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันแล้วจะมีกำลังสูงสุดที่ 573 แรงม้า และส่งกำลังด้วยเกียร์ Dual-Clutch แบบ 9 จังหวะ


Mercedes-AMG Project One






Mercedes-AMG Project One



ต้นแบบที่กำลังรอผลิตจริงในอนาคตซึ่งจะมีการผลิตอยู่ที่ 275 คัน และตัวรถได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง F1 ในทุกด้าน โดยเฉพาะเครื่องยนต์ซึ่งเป็นการนำเครื่องยนต์ที่มีพื้นฐานเดียวกับ F1 เป็นแบบ วี6ขนาด 1,600 ซีซี เทอร์โบที่มีกำลัง 670 แรงม้า มาทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 350 แรงม้า โดยเมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกันนั้นว่ากันว่าตัวเลขแรงม้าที่ผลิตออกมาจะทะลุ 1,000ตัวอย่างแน่นอน


KoenigseggRegera






KoenigseggRegera



ผลผลิตในปี 2015 ซึ่งมีการผสมผสานความเด่นของระบบไฮบริดเข้ากับความเร้าใจของสมรรถนะในแบบสปอร์ตเครื่องยนต์วางกลาง โดยในรถสปอร์ตรุ่นนี้จะเป็นแบบ PHEV ที่สามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ และมีเครื่องยนต์วี8ขนาด 5,000 ซีซี เทอร์โบ ทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน และมีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวทำหน้าที่ช่วยในการขับเคลื่อน และชาร์จกระแสไฟฟ้าผลิตกำลังออกมาได้ 1,822 แรงม้า และใช้เวลาเพียง 2.8 วินาทีในการทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถแล่นในโหมด EV ได้ 35 กิโลเมตร








ทั้งหมดนี้ คือรถซูเปอร์คาร์ ที่ใจกล้า พร้อมลุย ไปตามกระแสความต้องการของโลกยานยนต์ในอนาคต โดยเฉพาะการรุกใช้ขุมพลังแบบไฮบริดในรูปแบบเสียบปลั๊กชาร์จหรือ PHEV และในอนาคต คงจะไม่มีได้มีแค่นี้ ….ติดตาม






กำลังโหลดความคิดเห็น