ชื่อของปอร์เช่ 911 นั้น เรียกว่าเป็นรถสปอร์ตในระดับตำนาน ที่สร้างบรรทัดฐานให้แก่แวดวงรถสปอร์ตในระดับซูเปอร์คาร์มาอย่างยาวนาน รวมถึงการเป็นต้นแบบให้กับบรรดาเหล่าวิศวกรของค่ายรถยนต์อื่นๆ ในการสร้างสรรค์ให้มีความรู้สึกสนุกในการขับขี่ได้เช่นเดียวกับ 911
แม้ว่าจะได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยมที่สุด แต่ในแง่ของการพัฒนาแล้วนั้น เหล่าวิศวกรของปอร์เช่ ต่างไม่ยอมหยุดนิ่ง โดยเจเนอเรชันที่ 8 รหัสพัฒนา 992 ของ 911 นั้นได้รับการปรับปรุงใหม่มากมายอย่างที่เราได้เคยกล่าวไว้แล้ว เมื่อครั้งที่ได้ไปทดลองขับที่ประเทศสเปนว่า มีชิ้นส่วนที่เปลี่ยนแปลงมากถึง 90% เมื่อเทียบกับรุ่น 991 ซึ่งในการทดลองขับครั้งนี้เป็นการขับรุ่นพวงมาลัยขวา คันจริงที่พร้อมขายในประเทศไทย
เพิ่มกำลัง 30 แรงม้า
ในแง่ของสเปคต่างๆ ขอรวบรัดแบบกระชับเครื่องยนต์ขนาดความจุเท่าเดิม แต่ปรับปรุงใหม่ ให้มีกำลังเพิ่มขึ้น 30 แรงม้า จาก 420 แรงม้า มาเป็น 450 แรงม้า แรงบิด จาก 500 นิวตันเมตร มาเป็น 530 นิวตันเมตร ในรุ่น คาร์เรร่า เอส และ คาร์เรร่า4 เอส (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) ส่วนในรุ่นคาร์เรร่า ปกติ ยังไม่มีการเผยโฉมออกมาในเวลานี้ แต่จะมีการเปิดตัวตามมาอย่างแน่นอน
จุดใหญ่ของการปรับเปลี่ยน คือ โครงสร้างตัวถัง ซึ่งต้องคงเอกลักษณ์เดิมเอาไว้ แต่จะต้องรองรับการติดตั้งแบตเตอรี่ในเวอร์ชันไฮบริดที่จะคลอดตามออกมาในอนาคต ดังนั้น โครงสร้างตัวถังจึงต้องถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด ทั้งนี้ ตามมาตรฐานการกระจายน้ำหนักของ 911 ที่ตัวรถสมดุลหน้า-หลัง แบบ 50-50 ซึ่งถือว่าเป็นงานยากในการหาที่วางตำแหน่งของแบตเตอรี่ ระบบส่งกำลังยังคงคบหากับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ PDK 8 สปีด ที่ถูกเซตอัพใหม่ ให้มีความนุ่มนวลในการปรับเปลี่ยนเกียร์จนเราแทบไม่รู้สึกถึงจังหวะที่เกียร์เปลี่ยน
การออกแบบภายในใหม่ทั้งหมด จุดเด่นอยู่ที่หน้าปัดที่เป็นแบบวงกลม 5 วง แสดงผลแบบครบถ้วนทุกข้อมูลที่ต้องการของรถสปอร์ตระดับนี้ โดยไม่จำเป็นต้องไปติดตั้งอะไรเพิ่มเติมอีก พร้อมกับการลดปุ่มต่างๆ ให้เหลือน้อยลง และเปลี่ยนขนาดของคันเกียร์ให้เล็กลง ดูเหมาะเจาะลงตัวกับทิศทางการออกแบบใหม่นี้
เบาะนั่งยังคงดีไซน์ในแบบฉบับดั้งเดิมเอาไว้ แต่มีการปรับเปลี่ยนในด้านวัสดุ และโครงสร้างเพื่อรองรับสรีระของผู้ขับขี่และโดยสาร ซึ่งยังคงรูปแบบของการเป็นสปอร์ตคูเป้แบบ 2+2 ที่นั่งเอาไว้
ขณะที่ในแง่ของความปลอดภัยมีการติดตั้งโหมดการขับขี่ใหม่ “WET” ให้เป็นมาตรฐานในทุกรุ่น เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ เมื่อต้องขับท่ามกลางสภาวะที่เลวร้าย เช่น เวลาฝนตกหนักหรือพื้นที่ลื่นหลังฝนตก พร้อมกับออฟชันมาตรฐานของประเทศไทย เช่น Sport Chrono Package, Lane Change Assist และ ไฟหน้าแบบ LED พร้อม PDLS Plus เป็นต้น
สนุก เร้าใจ ใครก็มอง
ในส่วนของการทดลองขับนั้น เราตัดสินใจเลือกขับวิ่งแบบใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยเลือกเส้นทางที่ครบถ้วน ทั้งการฝ่าจราจรที่ติดขัดแบบสุดๆ ไปจนถึงถนนในสถานที่ส่วนบุคคลที่พอจะทำความเร็วระดับ 200 กม./ชม. ได้อย่างปลอดภัย แบบไร้รถยนต์สัญจรไปมา
ช่วงแรกที่เป็นขับแบบปกติ ใช้งานในเมือง ในสภาพการจราจรที่หนาแน่นและบางช่วงขยับกันแบบว่า 1 ชั่วโมง วิ่งได้ไม่ถึง 5 กิโลเมตร ยอมรับว่า ในจุดนี้ แอร์เย็นถึงใจ แต่ถ้าไม่ติดฟิล์มรับรองได้ว่าหากมีส่วนของมือหรือแขนไปสัมผัสกับแดด หรือเอามือไปลองสัมผัสกระจกจะรู้สึกร้อนสะดุ้งได้เลยทีเดียว
การดูดซับแรงสะเทือนเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ ปอร์เช่ 911 ทำได้ประทับใจเรา กับสภาพถนนปกติของกรุงเทพ เจอหลุม เจอฝาท่อ ย่อมต้องมีแรงสะเทือนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่หนักหนา เรียกว่า ท้องไส้ยังคงยิ้มได้อยู่ สามารถขับไปทำงานได้ทุกวันแบบไม่รู้สึกเหนื่อย หรือล้าแต่อย่างใด แถมขับไปไหนก็มีแต่คนมอง และสามารถเข้าจอดในตำแหน่งที่จอดซูเปอร์คาร์ ได้อย่างไม่เคอะเขิน
การลองขับแบบนี้ คงเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ คำตอบของวิศวกรผู้พัฒนา 911 (เวอร์ชัน 992) ที่พูดอย่างมั่นใจว่า “ความทนทาน” เมื่อเจอคำถามของผู้เขียนว่า จุดเด่นที่สุดของ 911 อยู่ตรงไหน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนระอุและต้องจอดติดเครื่องนานนับชั่วโมง โดยตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันบนหน้าจอ ระบุราว 3 กม./ลิตร ก็คงต้องเป็นตัวเลขนี้แน่นอนเพราะจอดติดนานนับชั่วโมงเช่นนี้
หลังจากหลุดพ้นการจราจรที่หนาแน่นมาเรียบร้อย ถึงคิวของการทดลองขับแบบเต็มสปีดกันดูบ้าง อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น เราขับไปหาพื้นที่ส่วนบุคคลที่สามารถทำความเร็วถึง 200 กม./ชม. แบบไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และได้ทดลองขับในทุกย่านความเร็วจนหนำใจ ขอกล่าวสรุปเพื่อความกระชับดังนี้
อัตราเร่ง มาอย่างดีงามในทุกย่านความเร็ว เรียกว่า สั่งเมื่อไรม้าขยันออกมาให้หลังติดเบาะได้ในทุกครั้ง และเหนือกว่าใครด้วยการทรงตัวที่ไม่ต้องหวั่นใจ ช่วงล่างแน่น พวงมาลัยนิ่ง ไม่มีออกอาการเป้ หรือท้ายปัดให้รู้สึกได้แต่อย่างใด (เปิดระบบครบทุกอย่าง ไม่ได้ปิด)
จังหวะการเข้าโค้งเกาะหนึบ มั่นใจ ขับแล้วให้ความรู้สึก สนุก อยากขับต่อ อีกทั้งยังทำให้เราย้อนนึกไปถึงการได้ทดลองขับถึง 2 ครั้ง ก่อนหน้าที่ประเทศสเปนและการทดลองขับในสนามแข่งดริฟท์ที่ปทุมธานี ซึ่งในครั้งหลังนี้เราได้ลองขับแบบสลาลม พร้อมกับการขับแบบใส่เต็มความเร็วในโค้งต่างๆ ที่หลายคนต่างเอ่ยปากยอมรับหลังได้ขับว่า 992 นั้น ขับดีขึ้นกว่า 991 แบบชัดเจน
นอกจากการขับเร็วและการทรงตัวที่ดีแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้ นั่นคือ การเบรก เราได้ลองเบรกหนักๆ แล้วหักหลบแบบกะทันหัน มั่นใจเต็ม 100% ว่าเอาอยู่ สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางหรือหยุดรถได้ทัน หากต้องเบรกฉุกเฉิน ทั้งต้องเปิดทุกระบบเอาไว้ด้วยนะ ห้ามปิดเด็ดขาดโดยเฉพาะ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว
อ่านถึงบรรทัดนี้ บางท่านจะคิดว่า รถอะไรทำไมมีแต่ข้อดี มันขับดีขนาดนั้นเลยหรือ ไม่มีจุดอ่อนใดๆ บ้างหรืออย่างไร ผู้เขียนขอตอบบนพื้นฐานของการทดลองขับโดยการเปรียบเทียบกับรถในลักษณะเดียวกัน แน่นอนว่า ถ้านำไปเปรียบเทียบรถซีดาน หรือรถเอสยูวีระดับหรูนั้น รถซีดานและรถเอสยูวี ย่อมต้องขับได้สบายและนุ่มนวลกว่า แต่เมื่อเทียบกับรถที่เป็นสปอร์ตในระดับซูเปอร์คาร์ด้วยกันแล้ว ความรู้สึกทั้งหลายเป็นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
เหมาะกับใคร
ซูเปอร์คาร์ สำหรับผู้เริ่มต้น หรือใครที่อยากได้รถสปอร์ตเอาไว้ใช้งานแบบทุกวันได้ ซึ่งมากับราคาค่าตัวที่ย่อมเยากว่าค่ายอื่น 911 เริ่มต้นเพียง 11,500,000 บาท ต่ำลงกว่าตอนเปิดตัวที่ 12,150,000 บาท อันเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างสรรพสามิตใหม่ และเมื่อรวมกับออฟชันมาตรฐานแล้ว ทำให้ 911 คาร์เรร่า เอส มีค่าตัว 12,158,000 บาท จบด้วยคำว่า ของมันต้องมี