xs
xsm
sm
md
lg

ลองครบรส GLC Family AMG-PHEV-ดีเซล-เบนซิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


หนึ่งในโมเดลยอดนิยมของประเทศไทยและทั่วโลก Mercedes-Benz GLC (จีแอลซี) หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2015 กวาดยอดขายสะสมกว่า 1,500,000 คัน ในปีนี้จึงได้มีการปรับปรุงโฉมให้มีความสดใหม่มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งมีการเพิ่มรุ่นย่อย ช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกมากกว่าเดิม






สำหรับการเปลี่ยนแปลงรอบนี้ จะมีอะไรใหม่บ้าง ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้เชิญ ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง มาสัมผัสการทดสอบถึงที่ประเทศเยอรมัน ซึ่งจัดมาให้เราชนิดที่เรียกได้ว่า ครบทุกรุ่นย่อย ส่วนจะมีรุ่นใดเป็นไฮไลต์ และตัวไหนจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยบ้าง เชิญติดตาม









เติมไลน์อัพ AMG-PHEV-ดีเซล-เบนซิน


ขออนุญาตเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงภายนอกก่อน เพราะเป็นสิ่งแรกสุดที่สัมผัสได้ด้วยตาทันที กระจังหน้ามากับดีไซน์ใหม่ โดยมีการแยกแต่ละรุ่นอย่างชัดเจน ไฟหน้าใหม่ เช่นเดียวกัน พร้อมระบบ MultiBeam LED ส่วนไฟท้ายปรับตำแหน่งดวงไฟในโคม กันชนท้าย และระบบช่วงล่างมีการปรับปรุงโชคอัพใหม่หมด ให้มีการดูดซับแรงสะเทือนที่ดีกว่าเดิม







ขณะที่ภายในห้องโดยสาร ไฮไลต์อยู่ที่การปรับหน้าตาของระบบแสดงผลบนหน้าจอใหม่ทั้งหมด พร้อมกับระบบสั่งการด้วยเสียง “Hey Mercedes” , ระบบสั่งการด้วยการเคลื่อนไหวมือ (Gesture Control) รวมถึงการเพิ่มเมนู Mercedes Me Store ให้คุณสามารถสั่งซื้อหรือเปิดระบบต่างๆ ที่เป็นออพชันได้อย่างง่ายดาย ส่วนพวงมาลัยมีการปรับเปลี่ยนใหม่เช่นเดียวกัน







สำหรับระบบขับเคลื่อน ไฮไลต์ ไปอยู่ที่การเพิ่มรุ่น ปลั้กอินไฮบริดเข้ามาทำตลาดชื่อ F Cell หนึ่งในตระกูล อีคิว โดยเป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนร่วมกันกับพลังงานไฮโดรเจน รุ่นแรกของโลก ที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 478 กม. (มาตรฐาน NEDC) ต่อการเติมไฮโดรเจนเหลวหนึ่งถัง และใช้ไฟฟ้าล้วนวิ่งได้สูงสุด 51 กม.








พละกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 365 นิวตันเมตร โดยแบตเตอรี่นั้นมีขนาดความจุ 13.5 kWh ชาร์จเต็มได้ในเวลาเพียง 1.5 ชั่วโมง ส่วนไฮโดรเจน ถังขนาด 4.4 กิโลกรัม เติมเต็มได้ในเวลาเพียง 3 นาที ด้วยเทคโนโลยีถังบรรจุไฮโดรเจนมาตรฐาน 700 บาร์ อัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์








ส่วนเครื่องยนต์แบบเบนซินปกติ มีการปรับเปลี่ยนหลายรายการ ให้พิกัดความแรงที่เพิ่มขึ้น จากเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบ twin scroll พร้อมระบบแบตเตอรี่ 48 โวลต์ กำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร








ด้านเครื่องยนต์ดีเซล ปรับพอสมควร เพื่อเข้าสู่มาตรฐานไอเสีย ยูโร 6ดี เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร จุดสำคัญ คือ มีการเปลี่ยนรางหัวฉีดใหม่ ช่วยให้การฉีดน้ำมันมีประสิทธิภาพมากขึ้นส่งผลให้แรงและประหยัดมากขึ้น โดยตัวเลขอัตราการสิ้นเปลืองระบุเฉลี่ยที่ 16.9-17.5 กม./ลิตร










สุดท้ายกับตัวแรง AMG GLC63s ที่พกพาเครื่องยนต์เบนซิน V8 รหัส M177 ความจุ 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 3.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 280 กม./ชม. ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์ V8 เพียงรุ่นเดียวในเซกเมนท์นี้








เอเอ็มจี63 ซูเปอร์คาร์ของครอบครัว

การทดลองขับทีมงานจัดจุดเริ่มต้นที่ลานจอดสนามบินแฟรงค์เฟิร์ต โดยให้เราไปเป็นคู่กับสื่อมวลชนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน โดยมีรถให้เลือกครบทุกเครื่องยนต์ที่ขาย เราตั้งใจว่าจะเลือกโมเดลที่จะขายในไทยเป็นหลักแต่เมื่อหันไปถามทีมงาน แน่นอนว่า คำตอบคือ ยังไม่สามารถบอกได้ ดังนั้น เราจึงขอจัดรุ่นตามใจอยากของเรา AMG GL63s 4Matic+






รับกุญแจมา เปิดประตูเข้ารถ ในฐานะผู้ขับก่อนเป็นลำดับแรก ทีมงานต้องการเช็คความถูกต้องของระบบนำทาง จึงให้เราติดเครื่อง “.....” เสียงคำรามเหนือคำบรรยายของท่อไอเสียที่ให้ความรู้สึกเหมือนซูเปอร์คาร์ดังแผดก้องกังวานในลานจอดรถชนิดที่ ทำให้ทุกสายตาหันมามองที่ตัวผู้เขียน เขินเลยทีเดียว “ครับผมยังไม่ได้ทำอะไร แค่ติดเครื่องเองครับ”








เมื่อทีมงานตรวจเช็คเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง กดคันเร่งออกตัวปกติ เสียงคำรามเบาๆ ดังเข้ามาในห้องโดยสาร ส่วนภายนอกไม่ทราบว่าจะดังขนาดไหน จากนั้นเลี้ยวออกจากลานจอดรถ ขับไปตามการบอกของระบบนำทาง จุดแรกก็หลงทิศเพราะไม่คุ้นกับการแสดงผลแบบ 2D จึงได้ปรับมาใช้แบบ 3D แทนคราวนี้เข้าใจง่ายทันที







การหลงทิศเล็กน้อยตรงนี้ ถือว่าดีเพราะได้ลองกลับรถในจุดที่แคบมากเพียง 3 เลน ก็สามารถกลับรถได้ แสดงถึงรัศมีวงเลี้ยวที่แคบ ช่วยให้คล่องตัวเวลาใช้งานในเมือง






เมื่อเราขับเข้าสู่ช่วงถนนปกติ ขับขี่ไปตามความเร็วที่กำหนดในแต่ละเส้นทาง ที่มีทั้งถนนคอนกรีตกว้าง ถนนลาดยางแคบ ส่วนใหญ่ค่อนข้างเรียบ รถทรงตัวดีเยี่ยม ดูดซับแรงสะเทือนได้ดี น้ำหนักพวงมาลัยเบามือ จังหวะเข้าโค้งเฉียบคมแม่นยำ เรียกว่า ขับไปแบบสบายๆ เสียงรบกวนภายนอกค่อนข้างน้อย






เมื่อมาถึงถนนช่วงที่ไม่จำกัดความเร็ว ถนนโล่ง เรากดคันเร่งมิดเท้า เสียงคำรามหวานหูไม่ต่างจากซูเปอร์คาร์ที่เราเคยลอง ตัวรถพุ่งทะยานจากความเร็วราว 60 กม./ชม. ไปแตะความเร็วสูงสุดที่ 236 กม./ชม. ในช่วงอีดใจเดียว ก่อนที่จะต้องผ่อนคันเร่ง เนื่องจากเริ่มมีรถหนาแน่นในถนน









เล่าแบบไม่อายปากว่า ช่วงที่ความเร็วไต่ขึ้นไปทะลุ 200 กม./ชม.นั้น ตัวรถนิ่งมาก ไม่รู้สึกว่าเร็วแต่อย่างใด ยังคงขับขึ้นไปได้อีกอย่างมั่นใจในความปลอดภัยเต็ม 100% เกาะถนนเนียนกว่าซูเปอร์คาร์บางคันเสียอีก และเมื่อถอนคันเร่งออก แตะเบรกยังคงอุ่นใจว่าเอาอยู่เช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ยืนยันด้วยคำตอบจากผู้โดยสารที่นั่งข้างเราว่า “ไม่เร็วครับพี่ รถนิ่งดี” ขอจบเรื่องเล่าของเอเอ็มจีไว้เพียงเท่านี้ แล้วไปต่อกันที่รุ่นอื่นๆ











ต่อมาเป็นการลองในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินปกติ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ หลังติดเครื่องยนต์แล้วยังเปิดประตูอยู่ เราได้ยินเสียงเครื่องยนต์ชัดมาก ถึงขั้นถามกับทีมงานว่านี่คือเครื่องยนต์เบนซินนะ ไม่ใช่ดีเซล ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราได้คุยกับวิศวกร ซึ่งเขาเล่าว่ามีการลดเสียงดังจากเครื่องยนต์ลงได้เยอะ แต่ไม่สามารถระบุในตัวเลขได้ แสดงว่า สิ่งที่เราได้ยินกับสิ่งที่วิศวกรกำลังพยายามทำนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เครื่องยนต์ดังจึงต้องหาทางทำให้เงียบลงให้ได้








การตอบสนองของคันเร่งรวดเร็วทันใจกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ ออกตัวพุ่งดีงาม แต่ด้วยข้อจำกัดความเร็วในเส้นทางนี้ทำให้เราขับได้สูงสุดเพียง 100 กม./ชม. แต่ก็เพียงพอต่อการสรุปได้ว่า เป็นรถที่อัตราเร่งดีในช่วงความเร็วต่ำ เงียบ นุ่ม สบาย ซึ่งตัวนี้สอดคล้องกับทิศทางการทำตลาดในไทย หลังจากที่เมอร์เซเดส เบนซ์สร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่รถ PHEV ในไทยเสร็จสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือ ไม่มีที่เติม ไฮโดรเจน นั่นเอง








สุดท้ายมาปิดกันด้วยการลองขับรุ่นดีเซล โดยน่าจะเป็นรุ่นที่ทำตลาดในไทย แน่นอนว่าจุดแรกที่ทุกคนสงสัยเสียงยังคงดังหรือไม่ คำตอบของเราคือ ใกล้เคียงกับรุ่นเบนซินนะ แต่อยู่คนละโทนเสียง บรรยายไม่ได้ต้องไปฟังกันเอาเอง ส่วนในแง่ของการขับขี่ ตอบสนองเร้าใจ ออกตัวพุ่งดี ตามสไตล์รถดีเซล ที่แรงบิดสูงมาในรอบต่ำ









ส่วนสิ่งที่แตกต่างไปสำหรับรุ่นดีเซลคือออฟชั่นถูกลดทอนลงไป ไม่ครบถ้วนเท่ารุ่นอื่นๆ แน่นอนว่ามาจากปัจจัยในเรื่องของราคา แต่จุดเด่นที่สุดของดีเซลหนีไม่พ้นเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมันที่เด่นด้วยตัวเลข






เหมาะกับใคร

รถของครอบครัว ขนาดกำลังพอเหมาะไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป กับช่วงราคาจำหน่ายในไทยราว 3 ล้านกว่าบาท ทำให้ได้รับความนิยมไม่น้อย ส่วนตัวใหม่นี้จะเข้ามาทำตลาดในไทยช่วงเวลาใด คำตอบคือ ไม่เกินสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน ส่วนใครที่ไม่อยากรอตัวใหม่ โฉมปัจจุบันยังคงมีจำหน่ายอยู่พร้อมส่วนลดที่น่าตะลึงเกินห้ามใจ ลองไปถามไถ่ที่ตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส เบนซ์อย่างเป็นทางการกันได้ทุกแห่งทั่วประเทศได้














กำลังโหลดความคิดเห็น