แม้ว่าเราจะได้เห็นซีรี่ส์ 1 ใหม่ที่มาพร้อมกับพื้นตัวถังใหม่ในแบบขับเคลื่อนล้อหน้า แต่สำหรับเอสยูวีรุ่นเล็กสุดในตลาดอย่าง X1 นั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดยที่เห็นอยู่นี้ยังเป็นการปรับโฉมหรือไมเนอร์เชนจ์ตามอายุตลาด
การปรับโฉมครั้งนี้มีขึ้นบนพื้นฐานของ X1 เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งมีรหัสตัวถัง F48 และเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2015 โดยจุดหลักของความเปลี่ยนแปลงคือรูปลักษณ์ภายนอกและ-ภายใน โดยเริ่มจากกระจังหน้าไตคู่แบบชิ้นเดียวขนาดใหญ่ที่ทั้ง 2 ส่วนของกระจังเชื่อมต่อกันเหมือนกับที่บีเอ็มดับเบิลยูใช้ในรถรุ่นใหม่ๆ รวมไปถึงมีการปรับรูปทรงกระจังหน้าและไฟหน้า Full LED ใหม่
นอกจากนี้ X1 ยังการออกแบบกันชนหน้าใหม่ให้มีช่องดักอากาศใหญ่ขึ้น และใช้ไฟ LED ตัดหมอกทรงใหม่ ขณะที่ด้านหลังได้รับการออกแบบรายละเอียดของไฟท้ายและกันชนใหม่ พร้อมกับใช้ปลายท่อไอเสียใหม่ที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นจาก 70 มม. ในรุ่นก่อนหน้าเป็น 90 มม. อย่างไรก็ตามไฮไลต์หนึ่งภายนอกของ X1 รุ่นปรับโฉมนอกจากกระจังหน้าทรงใหม่คือกระจกมองข้างฝั่งผู้ขับมาพร้อมไฟ LED ซึ่งฉายภาพ X1 ทูโทนที่พื้นเมื่อไม่ได้ล็อกรถ นอกจากนี้ X1 ยังมาพร้อมกับ 3 ทางเลือกของสีใหม่คือสี Jucaro Beige, Misano Blue Metallic และ BMW Individual Strom Bay Metallic และ 4 ล้อลายใหม่
เครื่องยนต์ในช่วงแรกเน้นไปที่ขุมพลังเบนซินและเทอร์โบดีเซลเป็นหลัก โดยรุ่นแรกเป็นรหัส sDrive16d กับเครื่องยนต์ดีเซล 116 แรงม้าไปจนถึง xDrive 25d หรือ xDrive25i กับกำลัง 231 แรงม้า ส่วนรุ่นไฮบริดเสียบปลั๊กนั้นต้องรอจนถึงปีหน้า ซึ่งขุมพลังบล็อกนี้ขะเป็นรหัส xDrive25e ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบตู่ 125 แรงม้าแรงบิด 220 นิวตัน-เมตรเพื่อให้กำลังแก่ล้อหน้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 94 แรงม้า แรงบิด 165 นิวตัน-เมตรสำหรับขับเคลื่อนล้อหลัง ในขณะที่แบตเตอรี 9.7 kWh สามารถแล่นในโหมด EV ได้ไกลถึง 50 กิโลเมตรเลยทีเดียว
การทำตลาดจะเริ่มทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
