มาร์ติน เฮยส์ ประธาน กลุ่มบริษัทบ๊อช เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยว่า การปิดงบการเงินประจำปี 2561 บ๊อซ มียอดขายรวมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูลค่า1,340 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 32 พันล้านบาท) เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 5% เป็นผลมาจากความต้องการด้านเทคโนโลยี IoT และโซลูชั่นการขับเคลื่อนของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้บ๊อซมุ่งพัฒนาโซลูชั่นที่สำคัญเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมดังกล่าว
นอกจากนี้ การนำนวัตกรรมตามแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ก่อนหน้านี้ เริ่มส่งผลบวก โดยมีโครงการสำคัญต่างๆ ที่ช่วยให้ของเราเป็นที่จดจำและต้องการเพิ่มขึ้น โดยสรุปคือ กลยุทธ์เน้นเทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อนั้น เริ่มให้ผลตอบแทนที่ดีแก่บริษัท”
-ผลเชิงบวกจากแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0
จากการสั่งสมประสบการณ์การผลิต และโซลูชั่นอุตสาหกรรม 4.0 ของบ๊อซ ที่ใช้ในโรงงานผลิตต่างๆ ในภูมิภาค ช่วยทำให้ระบบควบคุมในโรงงานทำงานฉับไวขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยืดหยุ่นยิ่งขึ้น ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มผลผลิตได้จนถึงขีดสุด โดยเพิ่มอัตราการเดินเครื่องได้สูงสุดถึง 15% เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้มากขึ้นกว่าเดิม 5-10% และลดระยะเวลาที่ระบบขัดข้องได้ถึง 20%
พร้อมกันนี้ ได้สนับสนุนลูกค้าในประเทศต่างๆ โดยให้คำปรึกษาและวางแผลกลยุทธ์เพื่อนำอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ
พร้อมสนับสนุนกลุ่มลูกค้า โดยให้คำปรึกษาและวางแผนกลยุทธ์เพื่อนำอุตสาหกรรม 4.0 มาใช้ โดยร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรดำเนินโครงการต่างๆ อาทิ การจัดตั้งห้องทดลอง เพื่อขับเคลื่อนแนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 และพิมพ์เขียวแผนแม่บทด้านสมาร์ทซิตี้, การพัฒนาหลักสูตรอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับฝึกอบรมด้านเทคนิคและอาชีวศึกษา หรือการเปิดตัว DTAP เพื่อช่วยให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆ ไปใช้ประโยชน์ เป็นต้น
-ยุคใหม่แห่งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า
จากความกังวลด้านความปลอดภัยบนท้องถนน และการตระหนักที่ต้องการลดมลพิษของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ “บ๊อซ” ซึ่งเป็นผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ได้เล็งเห็นอุปกรณ์ในระบบเบรกและโซลูชั่นช่วยเหลือ พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่อยานนยนต์ไฟฟ้า EV เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า สำหรับนำมาใช้ในภูมิภาคนี้ โดยจับมือพันธมิตรสร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้าในอินโดนีเซีย และเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ทั้งดูแลธุรกิจชิ้นส่วนอะไหล่และซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ในเวียดนาม นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนอุปสงค์ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าให้แพร่หลายทั่วโลกอีกด้วย
-สร้างความก้าวหน้าและยั่งยืนในภูมิภาค
บ๊อช มุ่งมั่นพัฒนาด้านเทคโนโลยีให้ก้าวล้ำฉีดกรอบเดิม โดยนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมสัตว์น้ำ โดยนำนวัตกรรม AquaEasy เข้ามาช่วยเพิ่มผลผลิตและทำให้กระบวนการวัดค่าต่างๆ ให้ง่ายขึ้น หรือนวัตกรรม Bosch Intelligent Microgrid for Asia (BIMA) โซลูชั่นไมโครคอนโทรลเลอร์ ที่สามารถจัดการและรวมเอาพลังงานจากหลายแหล่งเข้ามา ช่วยให้มีแหล่งพลังงานที่เสถียรและไว้ใจได้ ส่วนขีดความสามารถด้านคลาวด์ มีระบบที่ทำงานด้วยปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ สามารถวิเคราะห์ปริมาณและรูปแบบการใช้พลังงานได้อย่างต่อเนื่อง ป้องกันไฟฟ้าดับและบริหารการใช้พลังงานจากแหล่งที่ประหยัดที่สุดได้
-ปี 2562 ชูมาตรการด้านคุณภาพ-สภาพแวดล้อม
ดร.โวคมาร์ เดนเนอร์ ซีอีโอของกลุ่มบ๊อช กล่าวว่า ปีนี้ คาดว่ายอดขายจะสูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย แม้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นกับระบบนิเวศ และมีนโยบายจริงจังที่จะลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยที่ทำการบ๊อซกว่า 400 แห่งทั่วโลก จะบรรจุเป้าหมายปลดคาร์บอนเทียบเท่าเป็นศูนย์ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป
พร้อมลดมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการจรจร ให้เหลือศูนย์ โดยยึดหลักแนวคิด 3 แนวคิดในการดำเนินกิจกรรม คือ กิจกรรมที่พัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนที่ก่อมลพิษต่ำ, การทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในโครงการที่เหลือให้การจราจรลื่นไหลต่อเนื่อง และการนำระบบจัดการด้านการขับเคลื่อนของบริษัทไปใช้ในที่ต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่
