แม้ชื่อของ Koenigsegg จะไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่ากับ วอลโว่หรือซาบในฐานะที่เป็นแบรนด์รถยนต์ของสวีเดน แต่ถ้าเป็นโลกของซูเปอร์คาร์แล้ว ชื่อนี้ไม่เป็นรองใคร และเป็นที่รู้จักในฐานะของแบรนด์ที่ผลิตรถสปอร์ตที่ดุดันและสมรรถนะไม่เป็นรองใคร ซึ่งผลผลิตล่าสุดของพวกเขาคือ Jesko นั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
งานนี้เรียกว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ Koenigesegg แบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1994 มีรถสปอร์ตรุ่นใหม่อยู่ในตลาด โดย Jesko เปิดตัวครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2019 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และในตอนแรกหลายคนคิดว่า มันจะเป็นผลผลิตใหม่ แต่สุดท้ายแล้วจากการที่ Agera เปิดตัวรุ่น The Final ออกมาขายเมื่อปี 2018 ทำให้เดากันไม่ยากว่า Jesko คือ ตัวตายตัวแทนนั่นเอง เพราะ Agera เองก็เปิดตัวขายมาตั้งแต่ปี 2010 แล้ว ส่วนชื่อรุ่นก็มาจากชื่อของปู่ผู้ก่อตั้งบริษัท นั่นคือ Jesko von Koenigsegg
งานนี้ Koenigsegg ยังเติมอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์เข้าไปยังครบถ้วน ทั้งหารออกแบบในลักษณ์ที่มีเส้นสายโค้งมนและตัวถังด้านหน้าลาดเทลงด้านล่าง พร้อมไฟหน้าที่ถูกวางอยู่บนซุ้มล้อหน้า รวมถึงประตูเปิดในแบบหมุนและตั้งฉากกับพื้นถนน หรือที่เรียกว่า Dihedral Door โดยงานออกแบบเป็นการทำงานร่วมกันของผู้ก่อตั้งอย่าง Christian von Koenigsegg กับ Joachim Nordwall ซึ่งตัวรถมาในสไตล์สปอร์ตเครื่องยนต์วางกลางลำและขับเคลื่อนล้อหลัง
ตัวถังมีความยาว 4,610 มิลลิเมตร กว้าง 2,030 มิลลิเมตร สูง 1,210 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อขนาด 2,700 มิลลิเมตร แต่น้ำหนักตัวอยู่ระดับ 1,420 มิลลิเมตร ซึ่งดูแล้วค่อนข้างเยอะไปหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการเติมเต็มด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบอำนวยความสะดวกตามความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ๆ ที่นอกจากจะต้องแรงแล้วยังต้องสะดวกสบายด้วย
จุดเด่นของ Jesko คือ การออกแบบตัวถังให้มีความสอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งนอกจากจะต้องมีแรงกดหรือ Downforce เพื่อให้ตัวรถมีความมั่นคงขณะที่แล่นด้วยความเร็วสูง หรือขณะเข้าโค้งแล้ว ยังจะต้องมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานหรือ Cd ที่ต่ำด้วย โดยว่ากันว่า Downforce ที่เกิดขึ้นบนตัวถังในขณะที่แล่นด้วยความเร็วสูงนั้นจะมีมากถึง 800 กิโลกรัมที่ความเร็ว 249 กิโลเมตร/ชั่วโมง และจะเพิ่มเป็น 1,000 กิโลกรัมที่ 275 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขณะที่เครื่องยนต์เป็นขุมพลังวี8 5,000 ซีซี เทอร์โบคู่ บล็อกเดียวกับที่ใช้อยู่ใน Agera แต่มีการปรับปรุงชิ้นส่วนที่อยู่ข้างในเพื่อสมรรถนะที่ดีขึ้น โดยในบล็อกนี้รีดกำลังออกมาได้ 1,280 แรงม้า สำหรับการใช้น้ำมันเบนซินธรรม และเพิ่มเป็น 1,600 แรงม้า ถ้าเติม E85 ซึ่งตัวรถได้มีการปรับให้สามารถรองรับกับเชื้อเพลิงได้หลากหลายแบบทั้งเบนซินธรรมดา และแก๊สโซฮอล์ โดยตัวรถสามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ 483 กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยทีเดียว
ระบบส่งกำลังเป็นงานของเกียร์ที่เรียกว่า LST หรือ Light Speed Transmission ที่ Koenigsegg พัฒนาขึ้นมาเองโดยเป็นแบบ Multi-Clutch 9 จังหวะ และตัวเกียร์มีน้ำหนักเบามากเพียง 90 กิโลกรัม และกะทัดรัดกว่าโดยเมื่อเปรียบเทียบกับชุดเกียร์แบบ Dual-Clutch 7 จังหวะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ขนาดความยาวของเสื้อเกียร์ลดลงถึง 50% เลยทีเดียว
ช่วงแรกของการผลิตทาง Koenigsegg บอกว่าจะผลิตออกมาเพียง 125 คันเท่านั้น และจากไลน์ผลิตของบริษัทพวกเขาจะสามารถส่งรถออกสู่ตลาดได้เพียงปีละ 40-50 คันเท่านั้น ซึ่งตอนนี้มีการประกาศออกมาแล้วว่า จำนวน 125 คันที่ผลิตออกขายนั้นถูกจองหมดแล้ว แม้ว่าราคาเปิดตัวจะแพงถึง 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็ตาม