xs
xsm
sm
md
lg

ภาครัฐ-เอกชน ผนึกกำลังดัน EV-Euro5” เสริมฐานพร้อมแก้ปมมลพิษ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย จัดเสวนาวิชาการ “ยูโร 5 / EV แก้ปมมลพิษ หรือจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย”เพื่อระดมความคิดเห็นจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐก็พยายามหามาตรการแก้ไข รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) และการเตรียมปรับใช้มาตรฐานใหม่ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน





ณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มองว่า ไทยจำเป็นต้องวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่ตลาดมีความต้องการรถที่มีเทคโนโลยีและพลังงานสะอาด ซึ่งการที่รัฐมีนโยบายส่งเสริมให้เกิดเทคโนโลยีใหม่และเพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานไอเสียมากขึ้น เป็นการเดินมาถูกทาง โดยเฉพาะแนวคิดการปรับมาตรฐานไอเสียสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เร็วขึ้น จากยูโร 5 ในปี 2564 และยูโร6 ในปี 2565




ทั้งผลักดันให้โรงกลั่นผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร5 ออกมาป้อนตลาดก่อนการบังคับใช้มาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์ เพราะน้ำมันยูโร5 จะช่วยลดมลพิษและฝุ่นละอองทันที แม้เครื่องยนต์จะเป็นยูโร4 ก็ตาม โดยกระทรวงพลังงานแจ้งว่า ในปี 2564 จะมีน้ำมันยูโร 5 รองรับ 500 ล้านลิตร และครอบคลุมทั่วประเทศปี 2567 ทั้งจะพยายามส่งเสริมให้คนหันมาใช้น้ำมันยูโร5 เพิ่มขึ้น และพยายามทำราคาให้ถูกกว่าน้ำมันทั่วไป

ด้านอีวี ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะหากไม่ดำเนินการอุตสาหกรรมไทยอาจล้าหลังประเทศอื่นๆ ปัจจุบัน ค่ายรถยนต์มีทั้งผู้ที่ปรับตัว ไม่ปรับตัวและมีผู้เล่นหน้าใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาก่อนให้ความสนใจและเข้ามาเป็นผู้ร่วมอุตสาหกรรมนี้





องอาจ พงษ์กิจวรสิน นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย มองในมุมที่แตกต่างกันในบางส่วน โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดมาตรฐานไอเสียของเครื่องยนต์เป็นยูโร6 ว่า เป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด หากเป้าหมายต้องการแก้เรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็ก เนื่องจากมาตรฐานยูโร 5 และ 6 ในเครื่องยนต์ดีเซล มีค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กใกล้เคียงกัน แต่ค่าไฮโดรคาร์บอนและคาร์บอนมอนอกไซด์แตกต่างกัน และการปรับเปลี่ยนจะต้องใช้เงินลงทุน เฉลี่ย 2.5-5 หมื่นบาท/คัน ต่างจากต้นทุนของยูโร 4 เป็นยูโร 5 ที่อยู่ในระดับเท่าๆ กัน




ดังนั้น การที่รัฐต้องการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ควรมองให้รอบด้าน โดยเฉพาะปัญหารถเก่า ที่ไม่ได้รับการซ่อมบำรุงที่ถูกต้อง และหากเป็นรถที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ต้องใช้วิธีโอเวอร์ฮอลล์เท่านั้น



“ปัจจุบัน มีรถเก่าวิ่งอยู่ในท้องถนนจำนวนมาก ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข ทั้งการบำรุงรักษาและการตรวจสอบที่เข้มข้นมากกว่าปัจจุบัน”


ทั้งแสดงความเห็นด้วยกับการพัฒนาน้ำมันเป็นยูโร 5 เพราะเกิดประโยชน์ในวงกว้าง เนื่องจากรถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนน 20 ล้านคัน ในขณะนี้ สามารถใช้ได้และมีส่วนช่วยในการลดปัญหามลพิษ






ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย กล่าวว่า การทำตลาดรถ EV อยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้น หากผู้ประกอบการให้ความสนใจ และเปิดตัวรถ EV ออกสู่ตลาดไทยหลายรุ่น ทำให้มั่นใจว่า ในอนาคตจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้ผลิตไทย ที่มีแผนจะทำตลาดรถไฟฟ้า เช่น สามมิตรมอเตอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนจะต้องมีการปรับตัว ด้วยการมองหาช่องทางธุรกิจ และเทคโนโลยีใหม่ โดยภาครัฐควรให้การสนับสนุนเพื่อให้มีโอกาสในการพัฒนามากขึ้น เพราะช่วงนี้ มีหลายบริษัทที่หันมาสู่การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า แต่ประสบปัญหาหลายอย่าง เช่น ผู้ผลิตตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า จักรยานยนต์ไฟฟ้า ไม่สามารถจดทะเบียนได้




ด้านสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในปีนี้ คาดว่าจะมียอดผลิตทั้งสิ้น 2.15 ล้านคัน ลดลงจากปีที่แล้วที่ทำได้ 2.16 ล้านคัน เป็นผลมาจากการส่งออกชะลอตัวติดลบประมาณ 2% ในช่วงปี 2558-2560 และปีนี้ เป้าส่งออกอยู่ที 1.1 ล้านคัน ลดลงจากปีที่แล้วที่ทำได้ 1.14 ล้านคัน ขณะที่ตลาดในประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้สถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยปีนี้ ตั้งเป้าขาย เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 1.041 คัน เป็น 1.05 ล้านคัน

ด้านกลุ่มรถจักรยานยนต์ ได้รับผลกระทบจากการส่งออกเช่นกัน เนื่องจากประเทศคู่ค้าหันมาผลิตรถเอง ไทยจึงต้องปรับตัวด้วยการส่งออกชิ้นส่วนประกอบแทนการส่งออกรถสำเร็จรูป (CBU) มากขึ้น





สุรพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจ คือ ความสำเร็จของรถอีโค คาร์ ที่ทำตลาดได้ทั้งทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งตั้งแต่เริ่มโครงสร้างจนถึงปัจจุบัน ไทยผลิตรถดังกล่าวถึง 2.5 ล้านคัน และการที่อีโค คาร์ มีมาตรฐานไอเสียเทียบเท่ายูโร 5 ทำให้เป็นรถที่มีบทบาทในการช่วยลดมลพิษอีกด้วย

สำหรับภาพรวมในกลุ่มรถ EV ปัจจุบัน ยังมีไม่มากนัก โดยข้อมูลล่าสุดในวันที่ 28 ก.พ.ปีนี้ มีจำนวน 1,522 คัน แบ่งเป็นรถจักรยานยนต์ 1,155 คัน และรถยนต์นั่ง 148 คัน อย่างไรก็ตาม คาดว่า แนวโน้มของกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะชะลอตัวลดลง เนื่องจากผู้ขับขี่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับ-ส่ง การชาร์จไฟ ทำให้เสียเวลาในการทำรายได้






กำลังโหลดความคิดเห็น