xs
xsm
sm
md
lg

กะเทาะเปลือก MGC-ASIA 8 ธุรกิจสู่เป้า 50,000 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็มจีซี-เอเชีย
เปิดแผนการตลาด MGC-ASIA ทุกสายธุรกิจ แตกไลน์ ก่อนรวมศูนย์ เป้าขยายโตต่อเนื่องสู่ยอดขายระดับ 50,000 ล้านบาท มั่นใจปีนี้เตรียมพร้อมเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมเผยกลยุทธ์ลุยสร้างแบรนด์ใหม่ต่อยอดไลน์ธุรกิจให้ครบวงจร

MGC-ASIA หรือ ในชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า กลุ่มบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์เปอเรชัน (เอเชีย) จำกัด หนึ่งในผู้ทำธุรกิจด้านยานยนต์ของไทย ซึ่งมีคนไทยเป็นเจ้าของ 100% นำทัพโดย ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในแวดวงด้วยคำเรียกว่า “เสี่ยจุ๋ย มิลเลนเนียม”


นิคเนมดังกล่าว มีที่มาจากการเริ่มต้นด้วยการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู และมินิ ซึ่งการได้เป็นตัวแทนขายเพียงรายเดียวในช่วงแรก ที่มินิเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย เมื่อแบรนด์มินิโด่งดัง ชื่อของ มิลเลนเนียม ออโต้ จึงดังตามไปด้วย และแน่นอน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จของมินิในประเทศไทยทุกวันนี้ จุดเริ่มต้นเป็นผลงานโดยตรงจาก มิลเลนเนียม ออโต้


เมื่อธุรกิจไปได้สวย แผนการขยายกิจการต่อยอดเครือข่าย จึงได้เริ่มขึ้นจวบจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งในปี 2562 นี้ มาสเตอร์ กรุ๊ป มีธุรกิจในมือเรียกว่าครบวงจรและมีเป้าหมายใหญ่ คือ การเป็นบริษัท มหาชน และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทย หลังจากที่แต่งตัวมานานหลายปี ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจต่างๆ ของ เอ็มจีซี-เอเชีย มานำเสนอ เพื่อประกอบการตัดสินใจ หากวันหนึ่งคุณคิดจะเข้ามาเป็นเจ้าของร่วมด้วย




8 กลุ่มธุรกิจหลัก

1-กลุ่มรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ใหม่ ปัจจุบัน มีด้วยกันทั้งสิ้น 8 แบรนด์ ได้แก่ โรลส์-รอยซ์, แอสตัน มาร์ติน, มาเซราติ ทั้ง 3 แบรนด์นี้ เอ็มจีซี เป็นผู้แทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ส่วนอีก 3 แบรนด์ เอ็มจีซี เป็นดีลเลอร์ คือ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และฮอนด้า ขณะที่มอเตอร์ไซค์ เป็นดีลเลอร์ 2 แบรนด์ คือ บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด และฮาร์ลีย์-เดวิดสัน


กลุ่มธุรกิจนี้ ถือเป็นแกนหลักของเครือเอ็มจีซี โดยปีนี้มีเป้าการขายรวม 13,000 คัน โดยสัดส่วนรายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้รวมทั้งหมดของแต่ละปี เอ็มจีซี-เอเชีย จะมีการลงทุนขยายสาขาและเพิ่มโชว์รูมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยมีงบการลงทุนเบื้องต้นปีนี้กว่า 250 ล้านบาท


2-กลุ่มรถยนต์และมอเตอร์ไซค์มือสอง โดยเป็นการทำตลาดในนาม บีเอ็มดับเบิลยู พรีเมี่ยม ซีเล็คชั่น, มินิ เน็กซ์, ฮอนด้า เซอร์ทิฟายยูสคาร์, มาสเตอร์เซอร์ทิฟายยูสคาร์ (ขายรถมือสองรวมทุกแบรนด์), ซูเปอร์คาร์(ขายรถสปอร์ตระดับไฮเอนด์) และยัวร์ไบค์ (บิ๊กไบค์มือสอง) โดยกลุ่มนี้เกิดขึ้นเพื่อสนับสนุนการขายรถใหม่ เมื่อลูกค้านำรถเก่าเข้ามาเทรดอิน อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและยังสามารทำกำไรให้กลุ่มได้อีกด้วย

3-กลุ่มธุรกิจรถเช่าระยะสั้นและระยะยาว ในชื่อของ มาสเตอร์คาร์เร้นเทิล และ ซิกท์ เร้นอะคาร์ โดยมีธุรกิจบริการพนักงานขับรถรวมอยู่ด้วยในชื่อ มาสเตอร์ ไดร์ฟเวอร์ เซอร์วิสเซส






4-กลุ่มธุรกิจดูแลรถ ภายใต้ชื่อของ มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิส หรือ MMS ให้บริการซ่อมบำรุงรักษารถทั่วไป สอดรับกับการทำธุรกิจรถมือสองที่ให้บริการและดูแล ฟื้นฟูรถให้กลับมามีสภาพใหม่พร้อมใช้งาน


5-กลุ่มธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัย ภายใต้ชื่อ ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ให้บริการด้านประกันภัยครบวงจร ช่วยให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องหาประกันภัยเอง ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ


6-กลุ่มธุรกิจให้บริการศูนย์สารสนเทศในชื่อ ไอทเวนตี้โฟร์ (i24) และไอเอ็มเอ็กซ์ (iMX)

7-กลุ่มธุรกิจศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมบุคลากร ในชื่อ บริษัท มาสเตอร์ ออโตโมทีฟ เทรนนิ่งเซ็นเตอร์ (MAT)

8-กลุ่มธุรกิจเรือสำราญ ทำตลาดด้วยแบรนด์ อะซิมุท ยอชท์ ไทยแลนด์



ขณะเดียวกันบริษัทฯคาดว่าธุรกิจของกลุ่มในปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มรถยนต์ใหม่ ตั้งเป้าจำหน่ายกว่า 13,000 คัน ธุรกิจศูนย์บริการหลังการขาย ตั้งเป้าการบริการไว้กว่า 235,000 คัน


ในปีที่แล้ว รายได้จากทั้ง 8 กลุ่มธุรกิจของเอ็มจีซี อยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 15% ,กลุ่มธุรกิจรถใหม่เติบโตขึ้น 20 % และกลุ่มธุรกิจการบริการหลังการขายโต 9 % กลุ่มธุรกิจรถเช่าเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และธุรกิจประกันภัยมีอัตราการเติบโตกว่า 30 %


สำหรับปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 28,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 12% โดยมีเป้าหมายใหญ่ภายใน 3 ปีข้างหน้า จะมียอดขายแตะที่ระดับ 50,000 ล้านบาท คำถามเกิดขึ้นทันทีว่าจะเป็นไปได้อย่างไร





ปีนี้เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่


ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มาสเตอร์ กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด เผยว่า ปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวธุรกิจใหม่ ในช่วงเดือนมีนาคม2562 ซึ่งจะเป็นกลุ่มแบรนด์รถยนต์ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ จนกว่าจะถึงวันที่กำหนดไว้ มิฉะนั้นจะโดนฟ้อง แต่มั่นใจได้ว่าแบรนด์ที่เปิดใหม่จะมีส่วนสำคัญในการสร้างยอดรายได้ให้เติบโตไปจนบรรลุเป้าหมาย และยังมีโครงการใหญ่ๆ ต่อเนื่องอีก 4-5 รายการที่จะทำในช่วง 3 ปีต่อจากนี้

นั่นหมายความว่า ในปีนี้จะได้เห็นแบรนด์รถยนต์ใหม่เข้ามาอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่ม เอ็มจีซี-เอเชีย อีกหนึ่งยี่ห้อ ส่วนจะเป็นแบรนด์อะไรนั้น คงต้องรอการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ส่วนทำไม เอ็มจีซี-เอเชีย จึงต้องมีธุรกิจในมือมากมายหลายรายการนั้น คำตอบจากหัวเรือใหญ่กล่าวไว้ดังนี้





“การมีแบรนด์ต่างๆ เข้ามาอยู่ในการดูแลนั้น เรามองที่ภาพรวมว่า แบรนด์เหล่านี้จะต้องมีศักยภาพที่ครอบคลุมครบถ้วนตามความต้องการของลูกค้า ไล่ตั้งแต่รถยนต์ระดับราคาแพงสุด 30-60 ล้านบาท ลงมาจนถึงระดับไม่กี่แสนบาท รวมถึงการทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งการดูแลบริการซ่อมหลังการขาย, การซื้อ-ขายรถมือสอง และประกันภัย เรียกว่ามาหาเราทำทุกอย่างได้ครบวงจร ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องการดูแลลูกค้าอย่างดีที่สุด อันเป็นนโยบายหลักของกลุ่ม เอ็มจีซี-เอเชีย”

สำหรับการลงทุนต่างๆ ในปีนี้บริษัทจะเน้นด้านดิจิตอลมากขึ้น โดยนำระบบมาร์เก็ตติ้ง ออโตเมชั่น มาใช้กับฐานลูกค้าของเอ็มจีซี-เอเชีย ที่มีอยู่กว่า 500,000 ราย ในปัจจุบัน และลูกค้ากลุ่มมุ่งหวังอีก 700,000 ราย โดยจะเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิตอลใหม่ เพื่อสร้างบริการที่สะดวกและรวดเร็วให้กับลูกค้า ล่าสุดมีการเพิ่มเบอร์โทร 1286 MILLENNIUM AUTO CONNECT ซึ่งเป็นช่องทางต่อยุคดิจิทัลครบวงจรสำหรับลูกค้า มิลเลนเนียม ออโต้ และปีนี้จะมีการแนะนำ 1334 HONDA SUMMIT CONNECT สำหรับลูกค้า ซัมมิท ฮอนด้า เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารกับลูกค้า ทั้งการสอบถามข้อมูลรถใหม่ การนัดเข้ารับบริการ เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ หรือการรับข่าวสารจากบริษัทฯก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ




“ตลอดเวลาที่ผ่านมา เอ็มจีซี-เอเชีย ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการบริหารองค์กรแบบลูกค้าเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric โดยให้ความสำคัญกับลูกค้า เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษผ่านการจัดกิจกรรม การทำงานภายใต้องค์กรที่มีความหลากหลายของธุรกิจ เอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้า โดยเราใช้หลัก Synergy หรือความร่วมมือกันระหว่างหน่วยธุรกิจต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การบริการที่เหนือความคาดหมายและสร้างความแตกต่างเชิงบวกให้กับองค์กร”

ส่วนหลักสำคัญในการบริหารที่ทำให้เอ็มจีซี-เอเชีย สามารถเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ได้คือ อาศัยการผสมผสานความแตกต่างระหว่างเจเนอเรชั่น โดยในองค์กรของเอ็มจีซี-เอเชีย จะมีบุคลากรที่มาจากทุกเจเนอเรชัน ทั้ง GenX , GenY, BabyBoom ทำงานร่วมกัน ดังนั้น เอ็มจีซี-เอเชีย จึงมีความเข้าใจในพฤติกรรมของลูกค้าในทุกช่วงอายุ ทั้งนี้ยังเป็นการบริหารแบบกึ่งอิสระ แต่ละแบรนด์มีผู้ดูแลอย่างชัดเจน


“โลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ดังนั้น การปรับตัวต้องรวดเร็วด้วยเช่นเดียวกัน เราแยกกันบริหารเพื่อความคล่องตัวในการทำงาน แต่อย่างไรก็ตามทุกแบรนด์ต้องรายงานสรุปโดยตรงกับตัวผม เพื่อความเป็นเอกภาพและเดินไปในทิศทางเดียวกันของทั้งกลุ่ม” ดร.สัณหวุฒิ กล่าวถึงแนวคิดในการบริหารงาน

ถึงบรรทัดนี้ จากหนึ่งดีลเลอร์ ผ่านเวลามา 18 ปี กับแนวคิดยึดลูกค้าเป็นแกนหลัก ขยับขยายจนมีแบรนด์ในมือมากถึง 8 แบรนด์ ธุรกิจต่อเนื่องอีกหลากหลาย ทำให้วันนี้ของกลุ่มเอ็มจีซี-เอเชีย ก้าวขึ้นมาอยู่ในแถวหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้อย่างน่าทึ่ง

ส่วนก้าวต่อไปกับการเป็นบริษัท มหาชน ที่ให้ทุกคนสามารถเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของได้นั้น จะเป็นอย่างไร คงต้องจับตาดู.



กำลังโหลดความคิดเห็น