xs
xsm
sm
md
lg

มหากาพย์เรโนลต์-นิสสัน วันที่ไร้ “คาร์ลอส กอส์น”

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์








เมื่อปลายปีที่แล้ว มีข่าวใหญ่สะเทือนแวดวงยานยนต์โลก “ล็อคตัว คาร์ลอส กอส์น” คาสนามบินประเทศญี่ปุ่น ประธานและซีอีโอ ของกลุ่มอัลลายแอนซ์ ซึ่งประกอบไปด้วย “เรโนลต์ นิสสัน และมิตซูบิชิ” ผู้ผลิตรถยนต์ที่มียอดขายรวมกันอยู่ในระดับท็อป 5 ของโลก เกิดอะไรขึ้นกับ ซีอีโอ ที่ได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของโลกยานยนต์

ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องแบบสมบูรณ์คงต้องเท้าความกลับไปถึงการมาอยู่ร่วมกันของ คาร์ลอส กอส์น และ นิสสัน เสียก่อน เรื่องราวเริ่มต้นในช่วงปี 1999 นิสสัน ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องและขาดทุนสะสมหลายปีจนถึงขั้นวิกฤตเสี่ยงต่อการล้มละลาย ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ลามทั่วเอเชีย เรโนลต์ จึงได้ยื่นมือเข้ามาช่วยและบรรลุข้อตกลงในการเป็นพันธมิตรกัน และก่อตั้งกลุ่มในชื่อ อัลลายแอนซ์ (Alliance) ขึ้นมา

โดยข้อตกลงชุดแรก เรโนลต์ เข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 36.8% ในบริษัท นิสสัน มอเตอร์ แลกกับการที่ เรโนลต์ จัดการหนี้มูลค่า 5,400 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับนิสสัน ส่งผลให้นิสสันหลุดพ้นภาวะล้มละลาย หลังจากนั้นสัดส่วนการถือหุ้นของเรโนลต์ในบริษัท นิสสัน มอเตอร์ เพิ่มขึ้นเป็น 44.4% ส่วนนิสสันเข้าถือหุ้น ในบริษัท เรโนลต์ 15% จนถึงปัจจุบัน









อย่างไรก็ตาม การถือหุ้นของทั้งสองบริษัทเหมือนเป็นลักษณะของการถือหุ้นไขว้กันทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากหุ้นเรโนลต์ ที่นิสสันถือนั้น ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการโหวตใดๆ ขณะที่หุ้นนิสสัน ที่เรโนลต์ถือครองสามารถโหวตในห้องประชุมผู้ถือหุ้นได้ มีสิทธิ์เลือกกรรมการและผู้บริหารได้ครบถ้วน


ทั้งนี้ เมื่อเรโนลต์อยู่ในฐานะที่ควบคุมกิจการของนิสสันทั้งหมด ทีมบริหารจากเรโนลต์จึงได้เข้าร่วมบอร์ดบริหารของนิสสัน และมีชื่อของ “คาร์ลอส กอส์น” เข้ามาร่วมทำหน้าที่บริหารงานของนิสสัน นับตั้งแต่ปี 1999 พร้อมประกาศแผนปรับปรุง และพลิกฟื้นกิจการกลับมามีกำไรให้ได้ โดยในปี 2000 คาร์ลอส กอส์น ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธาน (President) และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (COO) หลังจากนั้น ในปี 2001 คาร์ลอส กอส์น ขยับตำแหน่งเป็นประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)



หลังจากกอส์นเข้ามาบริหารได้เพียง 3 ปีกว่า ในปี 2002 นิสสัน ประกาศผลประกอบการกลับมามีกำไรพร้อมล้างหนี้สะสมทั้งหมดได้ และเดินหน้าทำกำไรอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งผลจากความสามารถในการพลิกกิจการของนิสสันที่แทบจะล้มละลายให้กลับมามีกำไรนั้น ทำให้ กอส์น ได้รับรางวัลยกย่องมากมาย รวมถึงมีชื่อ กอส์น อยู่ใน Japan Automotive Hall of Fame (หอเกียรติยศด้านยานยนต์ของญี่ปุ่น)ด้วย ในปี 2005








เรียกว่า ตลอดช่วงเวลาที่ คาร์ลอส กอส์น บริหารงานและดำรงตำแหน่งสูงสุดในบริษัท นิสสัน มอเตอร์ สามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นรายนี้ได้ ก่อนที่เขาจะลงจากตำแหน่ง ซีอีโอ ในปี 2017 โดยคงไว้เพียงตำแหน่ง ประธานของนิสสัน มอเตอร์ เท่านั้น และแต่งตั้งให้ “ฮิโรโตะ ไซคาวะ” เข้ามาทำหน้าที่ซีอีโอแทน



หลังจากนั้น เพียงปีกว่าๆ คาร์ลอส กอส์น ถูกจับคาสนามบินที่ประเทศญี่ปุ่น ตามรายงานข่าวนี้สร้างความประหลาดใจไปทั่วโลก ด้วยข้อหากระทำความผิดเกี่ยวกับการเงินของประเทศญี่ปุ่น และเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งในส่วนนี้ต้องเป็นเรื่องของการต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม แต่จะมีเหตุผลอื่นใดซ่อนอยู่อีกหรือไม่ เหตุใดข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความผิดง่ายๆ เช่นนี้ จึงมาเกิดขึ้นมากับผู้บริหารที่ได้ชื่อว่า ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งของโลกได้


จากการวิเคราะห์ของทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง เมื่อมองถึง ผลลัพธ์ จากการที่ กอส์น ถูกจับกุม จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง เราพบปัจจัยที่น่าจะเป็นชนวนสำคัญในการปฏิบัติการสะเทือนโลกครั้งนี้








การควบรวมกิจการ?


ย้อนกลับไปราว 6 เดือนก่อนหน้าที่จะมีการจับกุมเกิดขึ้น มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับทิศทางใหม่ของกลุ่มอัลลายแอนซ์ โดยจะมีการรวมกันของทั้งสามแบรนด์ เรโนลต์ นิสสัน และมิตซูบิชิ ซึ่งจะเป็นการปรับโครงสร้างทั้งการบริหารงานและผู้ถือหุ้น โดยอาจจะรวมไปถึง “แบรนด์” ด้วย


“ผมจะต้องคุยกับบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นของทั้งสามแบรนด์ ถึงแผนการควบรวมกิจการของทั้ง 3 แบรนด์ โดยเริ่มจากนิสสันและเรโนลต์ก่อน เราจำเป็นต้องทำเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก ผมทราบดีว่ามันยาก แต่ผมจะทำเพื่อความมั่นคง” คาร์ลอส กอส์น ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงทิศทางในอนาคตของกลุ่มอัลลายแอนซ์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2018


สอดคล้องกับจังหวะเวลาที่ทางนิสสัน รายงานว่า เริ่มต้นตรวจสอบการดำเนินการด้านการเงินที่ผิดปกติของคาร์ลอส กอส์น ก่อนที่จะนำไปใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการจับกุมดังที่เป็นข่าว

แน่นอนว่า มีเพียงบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่ทราบดีว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับการควบรวมกิจการในครั้งนี้ แต่แล้วเมื่อเกิดเหตุกับ คาร์ลอส กอส์น แผนการควบรวมกิจการดังกล่าว ย่อมต้องหยุดชะงักลงอย่างไม่มีกำหนด







การเมืองมีเอี่ยว?

อย่างที่ทุกคนทราบดีว่า เรโนลต์ คือผู้กุมอำนาจเหนือนิสสัน ในการบริหารงาน แล้วใครคือผู้มีอำนาจบริหารคุมเรโนลต์ โดยตำแหน่งแล้ว ชื่อของ คาร์ลอส กอส์น เป็นทั้งประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ก่อนถูกจับ) แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของเรโนลต์ คือ รัฐบาลฝรั่งเศส โดยครองสัดส่วน 15.01 % ดังนั้น คนที่มีอำนาจสูงสุด คือ ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส “เอมมานูเอล มาครอง” นั่นเอง ซึ่งได้มีการออกกฎหมายพิเศษ “Florange Law” ทำให้หุ้นของรัฐบาลถืออยู่มีสิทธิมากกว่าหุ้นปกติอื่นๆ


ทั้งนี้ ฮิโรโตะ ไซคาวะ เคยส่งสัญญาณถึง ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส “เอมมานูเอล มาครอง” ให้ลดการควบคุมนิสสันลง และคืนสิทธิ์ในการโหวตของหุ้นเรโนลต์ที่นิสสันถือครองอยู่ให้กับนิสสันด้วย เพราะนิสสันมีสัดส่วนถือหุ้นอยู่ 15.01 % รวมถึงสละสิทธิ์ในการควบคุมกลุ่มอัลลายแอนซ์บ้าง ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้รับการตอบรับจาก เอมมานูเอล มาครอง แต่อย่างใด


สิ่งนี้จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่ทำให้นิสสัน อยู่ในภาวะอึดอัดอย่างมาก และหากย้อนกลับไปดู สิ่งที่ คาร์ลอส กอส์น ทำกับนิสสัน ในด้านดีคือ พลิกผลการดำเนินการให้กลับมามีกำไรได้ แต่อีกด้านคือ การลดคนงาน ลดฐานการผลิต และลดซัพพลายเออร์ เหนือสิ่งอื่นใดคือ การปรับภาษาหลักที่ใช้ในองค์กรจากภาษาญี่ปุ่น เปลี่ยนมาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แน่นอนว่า เรื่องนี้ส่งผลกระทบกระเทือนด้านจิตใจคนญี่ปุ่นและแบรนด์ญี่ปุ่นมิใช่น้อย








เรียกว่า ในมุมมองนิสสันแล้ว แทบจะเป็นผู้ถูกกระทำจากฝ่ายของเรโนลต์เพียงฝั่งเดียว โดยที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์มีเสียงแต่อย่างใด ทั้งยังมีส่วนของการขยายกิจการ ซึ่งนับตั้งแต่ เรโนลต์ เข้ามาได้อาศัยเครือข่ายของนิสสัน ขยายกิจการของเรโนลต์ ไปยังภูมิภาคอเมริกาเหนืออย่างต่อเนื่อง ยังไม่นับรวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ของนิสสัน ที่เรโนลต์ได้หยิบนำไปใช้ได้ในฐานะพันธมิตร



ฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า การจับกุม คาร์ลอส กอส์น ดังกล่าวในประเทศญี่ปุ่น ทางเรโนลต์จึงมิได้ทราบเรื่องแต่อย่างใด และทำให้ทีมทนายความของเรโนลต์ ฝรั่งเศส ส่งจดหมายถึงนิสสันแสดงความกังวลใจเกี่ยวกับวิธีการต่าง ๆ ของนิสสัน ที่ได้ทำลงไปในการหาหลักฐานเกี่ยวกับความผิดของกอส์น ในขณะที่นิสสัน มีการเรียกประชุมบอร์ดบริหารและผู้ถือหุ้นในวาระพิเศษเกี่ยวกับปลด คาร์ลอส กอส์น และแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความขัดแย้งของสองสมาชิกในกลุ่มอัลลายแอนซ์ที่ชัดเจนขึ้น


ถึงบรรทัดนี้ เรื่องราวระหว่าง นิสสัน-เรโนลต์ เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ส่วนจะจบลงอย่างไร เราคงได้แต่จับตามองและหวังว่า ทั้งสองแบรนด์จะสามารถหาทางออกร่วมกันได้อย่างลงตัวในฐานะพันธมิตรที่ดีมาอย่างยาวนาน




กำลังโหลดความคิดเห็น