xs
xsm
sm
md
lg

Porsche 911 (992) เมื่อดีที่สุด ขยับดีขึ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

“เราทำรถที่ขับสนุก แต่หากอยากได้รถที่ขับสนุกกว่านี้ก็ต้อง 911” และ “รถของเรามีพละกำลังต่อกระบอกสูบมากที่สุด เป็นรองเพียงแค่ 911 เท่านั้น” บางส่วนบางตอนของบทสทนาเบื้องหลังระหว่างผู้เขียนกับเหล่าวิศวกรผู้สร้างรถยนต์หลากหลายยี่ห้อ เมื่อถามถึงจุดเด่นของรถที่เขาสร้างขึ้น (ขอสงวนแบรนด์เอาไว้) สิ่งหนึ่งที่วิศวกรเหล่านั้นมีร่วมกันคือ การนำรถที่ตัวเองสร้างไปเปรียบเทียบกับ “ปอร์เช่ 911”

911 กลายมาเป็นเป้าหมายในการสร้างรถยนต์ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าของเหล่าวิศวกรด้านยานยนต์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ เป็นรถที่ขับแล้วสนุก เทคโนโลยีล้ำหน้า และสามารถใช้งานได้จริงแบบรถยนต์ทั่วไป โดยมีความแรงในระดับ ซุปเปอร์คาร์ ที่ส่วนมากต้องแลกด้วยความสบาย แต่ปอร์เช่สามารถผสมผสานความแรงและสบายเอาไว้ได้อย่างประทับใจทุกคนที่ได้ลองขับ

ในวันนี้ถึงเวลาที่ 911 ได้พัฒนาตัวเองให้ขยับไปอีกก้าว มาดูกันว่า 911 ใหม่ ภายใต้ รหัส 992 นั้น ได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ทีมงาน เอ็มจีอาร์ มอเตอริ่ง ไปร่วมสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ครั้งแรกของ 911 โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 8 ถึงประเทศสเปน

เปลี่ยนใหม่มากกว่า 90%
เมื่อถามถึงความเปลี่ยนแปลง ในรุ่นนี้เทียบกับรุ่นก่อนหน้า ภาพรวมคือการเปลี่ยนชิ้นส่วนมากกว่า 90% ดังนั้นหากให้ไล่ทั้งหมดพื้นที่คงไม่พอ เราจึงขอคัดเฉพาะส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญออกมานำเสนอ

โครงสร้างตัวถัง ในแง่ของดีไซน์ ยังคงเอกลักษณ์เหมือนเดิม แต่เส้นสายต่างๆ มีการเปลี่ยนไปทั้งหมด รวมถึงมีการเพิ่มชิ้นส่วนที่เป็นอลูมินัมมากขึ้น มีเหล็กเพียง 30% ทำให้น้ำหนักเบาลง 12 กก. แต่ยังคงความแข็งแรง ในแง่ของมิติตัวถัง ด้านหน้าขยายกว้างกว่าเดิม 44 มม. ด้านหลัง 45 มิลลิเมตร ยาวกว่าเดิม 20 มม. สูงขึ้น 4 มม.

โดยทั้งรุ่น S และรุ่น 4S จะมีขนาดตัวถังเท่ากัน ขณะที่ฐานล้อเท่าเดิม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่นำ แพลตฟอร์มใหม่ MMB มาใช้งานอีกด้วย ซึ่งมีการออกแบบให้รองรับ เวอร์ชัน ไฮบริด ในอนาคต … ใช่ครับ อ่านไม่ผิด 911 จะมีเวอร์ชันไฮบริด ส่วนจะนำแบตเตอรี่ไปใส่ไว้ตรงไหน ยังเป็นความลับอยู่

หัวใจยังคงมีขนาดเท่าเดิมคือ เบนซิน 3.0 ลิตร แต่มีหลายอย่างเปลี่ยนไป เทอร์โบใหม่ลูกใหญ่ขึ้น พร้อมกับการเปลี่ยนท่อไอเสียและทางเดินอากาศอินเตอร์คูลเลอร์ใหม่ หัวฉีดใหม่จากPiezo ที่ฉีดได้ละอองดีกว่าเดิม ผลลัพท์ทำให้ได้พละกำลังเพิ่มขึ้นจากโฉมก่อนหน้า 30 แรงม้า โดยมีกำลังสูงสุด 450 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 530 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลังเลือกใช้เกียร์ดูอัลคลัทช์ PDK 8 สปีด จากเดิมที่ 7 สปีด โดยได้รับการปรับปรุงให้รองรับเครื่องยนต์แบบไฮบริดที่จะออกสู่ตลาดในอนาคข้างหน้าด้วย

ช่วงล่างยังคงใช้งานระบบคอยล์สปริง ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์ไฟฟ้า ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ให้สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยอัตโนมัติตามลักษณะของการขับขี่ หรือจะปรับเองจากโหมดการขับที่ติดตั้งมา โดยมี โหมดใหม่ล่าสุด WET mode ที่ช่วยให้การขับขี่ในถนนเปียกลื่นมีความปลอดภัยมากขึ้น
แรคพวงมาลัยเปลี่ยนใหม่ ตอบสนองได้ละเอียดยิ่งกว่าเดิม ล้อและยางมากับขนาดที่แตกต่างจากเดิมโดยล้อหลังจะมีขนาด 21 นิ้ว และล้อหน้า 20 นิ้ว นับเป็นครั้งแรกที่ปอร์เช่ 911เลือกทำรถสเปคมาตรฐานด้วยล้อหน้า-หลังที่มีขนาดแตกต่างกัน แน่นอนว่าส่งผลต่อการเซตอัพรถอย่างมาก แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับทีมวิศวกรปอร์เช่

ด้านการตกแต่งภายในออกแบบใหม่หมดเช่นเดียวกัน โดยจุดเด่นที่คอนโซลกลางไม่มีปุ่มมากมายเหมือนก่อน เหลือเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมหน้าจอสัมผัสขนาด 10.9 นิ้วและระบบปฎิบัติการที่พัฒนาใหม่มีความละเอียดและเสถียรมากขึ้น หัวเกียร์ปรับให้มีขนาดเล็กลงดูลงตัวใช้เพียงปลายนิ้วก็สามารถปรับเปลี่ยนเกียร์ได้



หน้าปัทเป็นแบบจอขนาด 7 นิ้ว โดยแสดงผลเป็นแบบจอกลม 5 วงในแนวนอน ตามดีไซน์การออกแบบใหม่ของปอร์เช่ และเมื่อเลือกออพชัน Sport Chrono Package จะมีปุ่มปรับโหมดการขับขี่ที่พวงมาลัยมาให้พร้อมกับสมรรถนะที่เพิ่มสูงขึ้นอีกระดับ
ด้านระบบความปลอดภัย ไฟหน้าเปลี่ยนมาเป็นแบบ LED พร้อมระบบช่วยมองเวลากลางคืน โดยมีระบบช่วยจอดเซนเซอร์ทั้งหน้าและหลัง กล้องมองรอบคัน เหนืออื่นใด มากับระบบใหม่ที่สามารถตรวจจับตำแหน่งคนหรือสัตว์ใหญ่ได้ โดยมีการส่งคำเตือนและช่วยเบรกฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการชนคนเดินถนนอีกด้วย รวมถึงการใส่ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน ที่คอยเตือนเวลาขับออกนอกเส้นถนน


เร้าใจบนแทรค สบายบนถนน
ในการทดลองขับครั้งนี้ ทีมงานปอร์เช่จัดให้เรา 3 ส่วนหลัก คือการขับในสนามแข่ง, บนถนนจริง และ ในแทรคที่เปียกโชก เพื่อจำลองถนนเวลาฝนตก โดยเราขับแบบจัดเต็มครบทุกรูปแบบ
เริ่มกันที่การจำลองการขับบนถนนเปียกลื่น โดยใช้น้ำฉีดตลอดเวลา เพื่อให้เราขับเปรียบเทียบระหว่างการใช้งานโหมดปกติ โหมดสปอร์ต และ โหมดเปียก(Wet Mode) ซึ่งผลลัพท์จากการทดลองขับกี่รอบก็ได้(แต่ไม่เกิน 9 รอบ) จนกว่าจะพอใจ คือ เรารับรู้ได้ถึงการยึดเกาะถนนที่มั่นใจกว่า เมื่อเปิดการใช้งานโหมดเปียก โดยเฉพาะเวลาที่เข้าโค้ง เกาะโค้งหนึบกว่าชัดเจน

ส่วนช่วงการขับในสนามแข่ง ทีมงานให้ครูฝึกที่เป็นนักขับอาชีพใช้ ปอร์เช่ 911 GT3 RS มาขับนำไลน์ให้เหล่าสื่อมวลชนที่เข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้ กดคันเร่งออกโค้งแรก แรงดึงหลังติดเบาะแบบซุปเปอร์คาร์ ก็โผล่มาให้เราสัมผัสได้ทันทีเพียงแค่กดคันเร่งให้หนักเท้าสักหน่อย
สนามที่เรามาขับในครั้งนี้คือ สนามริคาร์โด โตโม ที่เมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ซึ่งเป็นสนามแข่งถาวรของรายการแข่งโมโตจีพี ที่มาจัดกันเป็นประจำทุกปี ระยะทางวิ่งต่อรอบราว 4.05 กม. ไฮไลต์คงอยู่ที่ช่วงทางตรงยาว ซึ่งเราสามารถทำความเร็วได้ราว 205-210 กม./ชม. ขณะที่คลิปการทดสอบ911โดยมาร์ค เวเบอร์ตรงจุดนี้สามารถเร่งความเร็วได้ถึง 230 กม./ชม. ก่อนจะเบรกเพื่อเข้าโค้ง

โดยในโค้งหักศอกหลังทางตรงยาวเราใช้ความเร็วประมาณ 80-90 กม./ชม. เอาอยู่แบบสบายๆ (เทียบเวเบอร์ในคลิปโค้งนี้ราว 100 กม./ชม.) อัตราเร่ง ประทับใจในทุกย่านความเร็ว เรียกเป็นมา ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด

ขณะที่อีกหนึ่งจุดสำคัญของสนามนี้คือ ช่วงโค้งยาวใช้ความเร็วสูง เราทำความเร็วได้ราว 130-140 กม./ชม. แบบขับอุ่นใจ (อย่าถามว่าเวเบอร์ขับไปเท่าไหร่ โน่น170-180 กม./ชม. ถ้าจำไม่ผิด ปีนทุกเอเพค) อยู่ในไลน์ถนนไม่มีการปีนขอบทางแต่อย่างใด
การบังคับควบคุมแม่นยำมากได้ดั่งใจในทุกจังหวะ จากพวงมาลัยที่ปรับใหม่ บวกกับช่วงล่างที่เซ็ตอัพมาอย่างดี เบรกเอาอยู่แบบสบาย เรียกว่าเราขับไปเต็มสปีด 5 รอบสนาม เวลาแห่งความสนุกช่างหมดไปอย่างรวดเร็วเสมอ อยากจะขอต่อรอบแต่ด้วยคิวขับที่อัดแน่น จึงต้องไปต่อกับการขับบนถนนจริง










ทีมงานมีเส้นทางให้ 2 รูปแบบคือทางยาว(140กม.)และทางสั้น (74กม.) เราเลือกทางสั้น เพื่อเซฟเวลา โดยเป็นเส้นทางที่มีครบทุกรูปแบบถนน โดยส่วนมากเป็นทางที่ค่อนข้างเรียบดี ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า 911 นั้นเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี เสียงรบกวนหลักๆ คือเสียงจากยางบดพื้นถนน เมื่อต้องวิ่งขับผ่านทางที่เป็นถนนขรุขระ ส่วนการขับผ่านทางเรียบเสียงค่อนข้างเบา



บางช่วงบางตอนของเส้นทางเป็นการขึ้นเขา ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับ 911 แต่อย่างใด ปัญหาเดียวคือ ทางนั้นเป็นถนนที่แคบมาก เรียกว่าทุกครั้งที่มีรถสวนมา จะต้องชะลอหรือมีคันหนึ่งจอดเพื่อให้อีกคันขับเคลื่อนไป สิ่งนี้ถือเป็นข้อดีในการพิสูจน์ว่า แม้ถนนจะแคบมากแต่ 911 ก็ผ่านได้ การที่ตัวถังขยายออกมาไม่ส่งผลต่อความคล่องตัวในการขับพื้นที่แคบ


ทัศนวิสัยในการขับขี่เป็นอีกสิ่งที่หนึ่งที่ต้องชื่นชม ทีมงานปอร์เช่ที่ออกแบบมาให้มุมมองต่างๆ ของ 911 นั้น กว้างขวาง ชัดเจน ขับง่าย ยิ่งเมื่อเทียบกับซุปเปอร์คาร์ในระดับเดียวกันแล้ว 911 ขับง่ายสบายกว่าเห็นๆ


การขับบนถนนจริงบางช่วงบางตอนทำความเร็วได้ถึง 120 กม./ชม. สูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ตัวรถทรงตัวนิ่งดี ช่วงล่างแจ่ม ถ้าวิ่งบนถนนทั่วไปรับประกันได้ว่าคนนั่งข้างไม่บ่นเรื่องการสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน (เว้นแต่คุณไปขับทางวิบาก นั่นอีกเรื่องหนึ่ง)
สุดท้ายเราขับทำเวลาได้ดี จึงทำให้มีเวลาเหลือ เราจึงขับอีกหนึ่งรอบ รวมเป็นระยะทางทั้งหมดร่วม 200 กม. (รอบแรกเรามีหลงนิดหน่อย) ก่อนที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าลาไปและต้องจากลา 911 ไป ก่อนที่จะมาเจอกันใหม่ในเมืองไทยอีกครั้ง



เหมาะกับใคร
นี่คือรถสปอร์ตที่ได้ชื่อว่า ดีที่สุดของโลกยานยนต์ ทุกเวอร์ชั่น สร้างชื่อสร้างตำนานมาอย่างมากมาย ด้วนสนนราคาค่าตัวที่เป็นมิตรเมื่อเทียบกับซุปเปอร์คาร์ระดับเดียวกัน แถมยังสามารถใช้งานได้ทุกวัน ไม่ว่าใครจะไปลองยี่ห้อไหนมาอย่างไร สุดท้ายหากคุณอยากสนุก สบายได้ทุกวัน เขาเหล่านั้นมาจบที่ ปอร์เช่ 911 กันทั้งสิ้น








กำลังโหลดความคิดเห็น