xs
xsm
sm
md
lg

เลกซัส อีเอส 300h หรู นุ่ม หนึบ ประหยัด

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เลกซัส อีเอส ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับแบรนด์เลกซัส เคียงคู่มากับเรือธงรุ่นใหญ่ อย่างรุ่นแอลเอส แต่เจ้า อีเอส แรกเริ่มนั้นจะอยู่ในเซกเมนต์หรูคอมแพค โดยมีรุ่นจีเอส สอดแทรกอย่างระหว่างกลาง เพื่อจับกลุ่มที่ชอบรถขนาดกลาง ซึ่งหากนับจากครั้งแรกที่เปิดตัวในปี 1989 แล้ว นับเป็นเวลาร่วม 30 ปี ที่อีเอส ยืนหยัดทำตลาดมาจนกระทั่ง

ในเจเนอเรชันที่ 7 ของโมเดลที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของเลกซัสนั้น ได้รับการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์อยู่ในเซกเมนต์รถหรูขนาดกลาง โดยมีการยุติรุ่นจีเอสไป เนื่องจากอยู่ในไลน์การขายเดียวกัน ดังนั้น เพื่อความชัดเจนในการทำตลาด อีเอส จึงเข้ามาแทนที่โดยคู่ปรับในกลุ่มนี้ ได้แก่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อี-คลาส, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 และอาวดี้ เอ6

สำหรับเจเนอเรชันนี้ ยังคงเป็นรถยนต์แบบขับเคลื่อนล้อหน้าอยู่เช่นเดิม โดยในประเทศไทยจะทำตลาดด้วยรุ่นเครื่องยนต์แบบไฮบริดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน หากนำรุ่นเครื่องยนต์ปกติจะมีข้อเสียเปรียบด้านภาษีนำเข้า ทำให้ราคาสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ประกอบในประเทศไทย




เทคโนโลยีใหม่แน่น

อย่างที่ทุกคนทราบกันว่า รถเลกซัสทุกคันจะได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจาก “ทาคูมิ” หรือเหล่าวิศวกรผู้สร้างรถยนต์ที่มีความชำนาญและเก่งที่สุดขององค์กร ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคนที่ได้ใช้เลกซัสแล้วจะติดใจ ยังคงใช้เลกซัสอย่างต่อเนื่องต่อไป และลูกค้าทุกคนของเลกซัสในเมืองไทยเคยผ่านการใช้งานรถจากแบรนด์ยุโรปมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งเหตุผลใดทำให้เขาเหล่านั้น มาเลือกใช้เลกซัส คำตอบอยู่ด้านล่างนี้

ในเชิงวิศวกรรมของ อีเอส เจเนอเรชันที่ 7 นั้น ใช้พื้นฐานโครงสร้างตัวถัง GA-K ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการขับขี่ที่เหมาะสมกับสรีระร่างกายมนุษย์ นอกจากนั้น ยังมีการเสริมด้วยแท่งยึดรูปตัว V ที่ด้านหลังเบาะหลัง ช่วยลดการบิดตัวและทำให้รถทรงตัวดีขึ้น พร้อมทั้งติดตั้งตัวซับแรงกระแทกที่ช่วงล่างด้านหน้าและหลัง ลดแรงสะเทือนขณะขับขี่และลดเสียงดังได้อีกด้วย









หัวใจมีทางเลือกเดียวคือ แบบเบนซินไฮบริด ขนาด 2.5 ลิตร รหัส A25A-FXS กำลังสูงสุด 218 แรงม้า (รวมเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า) แรงบิดสูงสุด 221 ขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT แบตเตอรี่เป็นแบบ นิเกิล-เมทัลไฮดราย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 8.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 180 กม./ชม. อัตราการบริโภคน้ำมันเฉลี่ยเคลมไว้ที่ 23.2 กม./ลิตร



ด้านภายในห้องโดยสาร ดีไซน์มาในแบบเดียวกับพี่ใหญ่แอลเอส แต่ย่อส่วนลงมา ละลานตาไปด้วยหน้าจอกลาง ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว และหน้าจอผู้ขับขี่ มีมาตรวัตที่แสดงผลเกี่ยวกับระบบไฮบริดแสดงสถานะการชาร์จไฟกลับ หรือใช้กำลังไฟฟ้าเป็นหลัก โดยมีปุ่มควบคุมบนพวงมาลัยที่ต้องบอกว่า ใช้งานสะดวกและง่ายด้วยขนาดที่พอเหมาะกับนิ้วมือและไม่ซับซ้อนจนเกินไป


ส่วนการควบคุมหน้าจอกลางจะอาศัยแป้นสัมผัสที่ติดตั้งอยู่ตรงข้างเกียร์ ซึ่งใช้งานง่ายและสะดวกเหมือนเรากำลังเล่นมือถือ โดยสามารถควบคุมได้ทุกสิ่งอย่าง

ขับแล้วมีความสุข

เลกซัส อีเอส นั้น เราเคยสัมผัสมาแล้ว เมื่อครั้งเข้าร่วมกิจกรรม Global Media Test Drive ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโรงงานประกอบรถยนต์เลกซัสอยู่ที่นั่นด้วย นอกเหนือจากที่ญี่ปุ่น เนื่องจากตลาดอเมริกาเป็นฐานที่มั่นใหญ่ที่สุดของเลกซัสในการสร้างยอดขายที่เป็น กอบเป็นกำ


เมื่อมาเปิดตัวที่เมืองไทย ด้วยราคาค่าตัวน่าคบหา เริ่มต้น 3,590,000 บาท ในรุ่น Luxury ถัดมาเป็น 3,760,000 บาท ในรุ่น Grand Luxury และรุ่นท้อป Premium ราคา 4,190,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่นที่เรานำมาทดลองขับในครั้งนี้ เรียกว่าสูสีกับคู่แข่งที่อยู่ในระดับเดียวกัน








เมื่อขึ้นรถมา สิ่งแรกที่เราชอบหลังได้ขับเจ้าอีเอสออกสู่ท้องถนน พวงมาลัยที่มีน้ำหนักเบามือ เข้าโค้งแม่นยำ โดยเฉพาะเวลาเลี้ยวออกจากลานจอดรถที่มีรถหนาแน่น ทัศนวิสัยพร้อมกล้องต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกนั้น มีครบทั้งหน้าและหลัง ช่วยให้อุ่นใจได้อย่างเต็มร้อย


ความเงียบภายในห้องโดยสารตลอดจนเวลาขับเคลื่อน คือสิ่งที่เป็นจุดเด่นด้วยเหตุผลทางด้านวิศวกรรมที่ทางทีมงานเลกซัส ภาคภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างยิ่ง ทั้งจากการบุผนังห้องโดยสารใหม่ ด้วยวัสดุที่ดูดซับเสียงได้ การใช้ล้อแม็กที่มีเสียงสะท้อนต่ำ (Low Resonance) รวมถึงช่วงล่างชุดพิเศษที่มีใส่เฉพาะในตัวท้อปเท่านั้น


อัตราเร่งดีเยี่ยม กดคันเร่งออกตัวรถพุ่งไปเนียนๆ โดยที่เครื่องยนต์ยังไม่ติด ออกตัวด้วยระบบไฟฟ้า จึงเป็นที่มาของอัตราการบริโภคน้ำมันที่ดี แม้จะวิ่งในเมืองก็ตาม ส่วนจังหวะเร่งแซงทันใจในทุกย่านความเร็ว แม้จะขับเกิน 120 กม./ชม.ก็ตาม ยังสามารถกดคันเร่งคิกดาวน์ได้อีก เสียงเครื่องอาจจะไม่ได้คำรามมากมายแต่ตัวรถพุ่งใช้ได้ เหนืออื่นใด คือ ความอุ่นใจในทุกย่านความเร็ว โดยเราทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 180 กม./ชม. รถยังคงวิ่งนิ่งๆ สบายๆ







การเข้าโค้ง การโยนตัวเมื่อเจอกับคอสะพานเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ อีเอส ทำได้ประทับใจเกินกว่าที่เราคาดไว้ อย่างที่ทุกท่านทราบกันว่า ถนนเมืองไทยนั้นน่ากลัวเพียงใด แต่เมื่ออยู่ในเลกซัส อีเอส กลับมีความสบายและมั่นใจ ได้ตลอดทุกเส้นทาง ยังไม่นับรวมในเรื่องของบรรยากาศภายในห้องโดยสาร ที่เมื่อขับเวลากลางคืนแล้วจะได้อารมณ์แตกต่างไปกว่าการขับเวลากลางวัน ซึ่งเราชอบการขับกลางคืนมากกว่า


ขณะที่ผู้โดยสารทางด้านหลังนั่งแล้วมีความสบายเช่นเดียวกับทางด้านหน้า และยังสามารถปรับเบาะให้เอนไปทางด้านหลัง เพื่อเพิ่มความสบายได้อีกด้วย พร้อมกับมีแป้นควบคุมและสั่งการระบบแอร์ที่แยกเป็น 3 โซนได้ด้วยเช่นกัน เรียกว่ามาครบแบบเต็มๆ เอาใจทั้งคนขับและคนนั่งทางด้านหลัง







สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันนั้น ตามการแสดงผลบนหน้าจอ เราเห็นตัวเลข 18.4 กม./ลิตร หลังจากวิ่งไปแล้วกว่า 300 กม. ทั้งใช้งานในเมืองที่การจราจรหนาแน่นและวิ่งออกต่างจังหวัดแบบทางยาวๆ ด้วยความเร็วประมาณ 90-120 กม./ชม. ซึ่งบางช่วงบางตอนวิ่งแตะ 140-180 กม./ชม. เพื่อจับความรู้สึกต่างๆ









หากให้หาจุดเด่นที่สุดของ เลกซัส อีเอส โดยจำแนกเป็นหัวข้อต่างๆ อีเอส อาจจะไม่ใช่รถที่ดีที่สุดในหัวข้อนั้นๆ แต่หากมองโดยสรุปภาพรวม นี่คือรถที่ขับแล้ว “มีความสุขที่สุด” อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ










เหมาะกับใคร


กลุ่มเป้าหมายแรก คือ ผู้บริหารรุ่นใหม่ หรือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและผ่านการใช้งานรถจากค่ายยุโรปมาแล้ว ต้องการรถที่เน้นใช้งานโดยคงความหรู ความสะดวกสบายและได้ความสุขในการใช้แบบที่ไม่ต้องเข้าซ่อม หรือนอนพักในศูนย์บริการนานๆ แนะนำให้มาลอง เลกซัส อีเอส แล้วคุณจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใด เราจึงกล่าวเช่นนี้




กำลังโหลดความคิดเห็น