ตลอดปี 2018 แม้ว่าจะไม่มีการจัดงานใหญ่ของปีอย่าง Frankfurt และ Tokyo Motorshow แต่ตลาดรถยนต์ในต่างประเทศก็คึกคักกันตั้งแต่ต้นปี เพราะว่างานประจำปีอย่าง Detroit และ Geneva ก็ยังมีการจัดอย่างต่อเนื่อง แถมยังมีงานที่จัดทุก 2 ปีในปีค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลขคู่อย่าง Paris Motorshow ร่วมด้วย ซึ่งทั้งหมดได้กลายเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอผลผลิตใหม่ๆ ของแบรนด์รถยนต์ของปีนี้
และนี่คือรถยนต์ใหม่ 10 รุ่นที่เปิดตัวในตลาดโลกช่วงปี 2018 ซึ่งเราคิดว่าเด่นและน่าสนใจ แน่นอนว่าบางรุ่นอาจจะมีขายอยู่เฉพาะในต่างแดน แต่บางรุ่นก็มีความเกี่ยวข้องกับเมืองไทย และน่าจะเข้ามาขายในปีหน้า
BMW 3-Series
คอมแพ็กต์ซีดานรุ่นสำคัญของ BMW เปิดตัวโฉมใหม่ออกสู่ตลาดกับรหัสใหม่อย่าง G20 ซึ่งจะเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมคือ F30 โดยการทำตลาดในยุโรปจะเริ่มส่งมอบรถได้ในเดือนมีนาคม 2018 และตอนนี้ยังมีแค่ตัวถัง 4 ประตูเท่านั้น ซึ่งมีขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิมในหลายมิติ เช่น ความยาว 4,709 มิลลิเมตร (+85 มิลลิเมตร) และระยะฐานล้อ 2,851 มิลลิเมตร (+41 มิลลิเมตร) ส่วนรุ่นแวกอนยังไม่มีการเปิดตัวออกมา โดย 3 Series ใหม่จะมากับทางเลือกของเครื่องยนต์ที่หลากหลายเช่น 320d ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบดีเซล 190 แรงม้า ตามด้วย 330i เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ 258 แรงม้า ส่วนรุ่นที่แรงขึ้นมาคือ M340i และ M340i xDrive M Performance เครื่องยนต์ 6 สูบ 3,000 ซีซี เบนซินเทอร์โบ 382 แรงม้า ซึ่งใช้เวลา 4.2 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนรุ่นพื้นฐานของเบนซินคือ 320i แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ 184 แรงม้า
Mazda 3
โฉมใหม่ที่เป็นโมเดลเชนจ์ของ 3 ที่ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยจะมีทั้งตัวถังซีดาน และแฮทช์แบ็ก พร้อมรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากรถยนต์ต้นแบบรุ่น RX-Vision ที่เปิดตัวในงาน Tokyo Motorshow 2015 ส่วนไฮไลต์ของตัวรถคือ เครื่องยนต์ใหม่ Skyactive-X ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Spark-controlled compression ignition engine โดยในเครื่องยนต์เบนซินจะยังมีการติดตั้งหัวเทียนเหมือนเดิม แต่มีการปรับบทบาทใหม่ในการทำงานที่แตกต่างจากเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป โดยจะเป็นรุ่น 1,500 ซีซี ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 2,000 และ 2,500 ซีซี ในกลุ่ม Skyactive-G และรุ่นเทอร์โบดีเซล Skyactive-D ที่มีความจุกระบอกสูบ 1,800 ซีซี ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค สำหรับบ้านเราจะเข้ามาทำตลาดกลางปีหน้า ใครที่สนใจก็เก็บเงินรอกันได้เลย
Jeep Gladiator
การกลับมาของปิกอัพในสายการผลิตรุ่นแรกของจิ๊ปนับจากปี 1992 ที่พวกเขาเปิดตัวรุ่น Comanche ตัวรถแชร์พื้นฐานเดียวกับ แรงเลอร์ รุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีรหัสตัวถัง JL โดยจะมากับตัวถังแบบ 4 ประตู ที่สามารถถอดประตูออกได้ในกรณีที่ต้องการความสะดวกในการใช้งาน เช่นเดียวกับการเปิดหลังคา ซึ่งทีมออกแบบของจิ๊ปผลิตชิ้นส่วนที่เป็นแผ่นหลังคาให้สามารถเคลื่อนย้ายออกได้ โดยเป็นแบบ Freedom-Top แบบ 3 ชิ้น และชิ้นส่วนตรงนี้ผลิตจากอะลูมิเนียม เลยไม่ต้องกังวลเรื่องของน้ำหนักในช่วงแรกที่ทำตลาดจะมากับเครื่องยนต์เบนซินตระกูล Pentastar บล็อกวี6 3,600 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT และระบบดับเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่ หรือ ESS-Electronic Stop-Start System โดยในรุ่นเบนซินสามารถผลิตกำลังออกมาได้ 280 แรงม้า และรุ่นเทอร์โบดีเซลแบบ EcoDiesel จะมีทำตลาดด้วยเช่นกันแบบวี6 3,000 ซีซีมี กำลัง 260 แรงม้า พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะและระบบเกียร์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่สามารถปรับอัตราทดเกียร์ในการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ได้ทั้งแบบ 4H และ 4L
Suzuki Jimny
ทันทีที่เปิดตัวในญี่ปุ่น และมีการนำคันจริงออกมาเปิดตัวในงาน Paris Motorshow รถยนต์รุ่นนี้กลายเป็นกระแสความสนใจของคนไทยทันทีเพราะมีข่าวว่าจะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา โดยถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ตัวถังทรงกล่องแบบ 3 ประตูของตัวรถมากับความยาว 3,395 มิลลิเมตร กว้าง 1,475 มิลลิเมตร สูง 1,725 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,250 มิลลิเมตร ในญี่ปุ่น Jimy จะมี 2 ทางเลือก โดยรุ่นธรรมดาจะจัดอยู่ในกลุ่ม K-Car ด้วยการใช้เครื่องยนต์ R06A แบบ 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว 660 ซีซี เทอร์โบ 64 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 9.8 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที ส่วนรุ่น Jimny Sierra นั้นจะใช้เครื่องยนต์รหัสเดียวกับ Ertigaใหม่ที่เปิดตัวในอินโดนีเซีย เป็นรหัส K15B แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,500 ซีซี 102แรงม้าที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.3 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที ซึ่งในตลาดโลกพวกเขาจะทำตลาดรุ่นเครื่องยนต์ 1,500 ซีซีเป็นหลัก
Porsche 911 Carrera
911 เจเนอเรชั่นที่ 8 มากับรหัสพัฒนา 992 ภายนอกได้รับการออกแบบใหม่ แต่ยังคงเอกลักษณ์ของปอร์เช่ 911 เอาไว้ได้เช่นเดิม ตัวถังภายนอกผลิตด้วยอะลูมิเนียม ส่วนสิ่งที่เปลี่ยนไปของตัวถัง 992 เริ่มจากซุ้มล้อได้รับการขยายความกว้างกว่าโฉมก่อนหน้า เพื่อรองรับล้ออัลลอยคู่หน้า ขนาด 20 นิ้ว และคู่หลัง 21 นิ้ว ตัวถังด้านท้ายขยายกว้าง เสริมความแข็งแกร่งดุดันด้วยชุดสปอยเลอร์หลังปรับระดับได้โดยรุ่นที่ทำตลาดมีทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลัง และแบบ 4 ล้อที่ใช้ชื่อว่า Carrera4 ซึ่งทั้ง 2 แบบจะมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ความแรงบนพื้นฐานของขุมพลัง 6 สูบนอน 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ ซึ่งถ้าเป็นรุ่นธรรมดาจะมีกำลัง385 แรงม้า และรุ่น S จะมีกำลัง 450 แรงม้า โดยเลือกส่งกำลังได้ทั้งจากเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ หรือ PDK แบบ 8 จังหวะซึ่งเข้ามาแทนที่รุ่นเดิมที่มี 7 จังหวะ
Honda Brio/Amaze
ขณะที่รุ่นที่ขายอยู่ในปัจจุบันของบ้านเรานั้นยังเงียบ แต่ตลาดในอินเดียและอินโดนีเซียต่างมีความเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับ City Car รุ่นนี้ โดยในอินเดียเปิดตัวออกมาก่อนกับตัวถัง 4 ประตูที่ใช้ชื่อว่า Amaze ก่อนที่อินโดนีเซียจะมีตามออกมาในช่วงเดือนสิงหาคมกับรุ่น Brio ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตู ที่มีความเปลี่ยนแปลงในด้านการออกแบบอย่างชัดเจน ส่วนเครื่องยนต์เป็นรหัส L12B บล็อก 4 สูบ SOHC i-VTEC 1,200 ซีซี ที่มีกำลัง 90 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 110 นิวตันเมตรที่ 4,800 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ CVT ทั้ง 2 รุ่นมีขายและทำตลาดมาแล้ว ส่วนบ้านเราต้องรอดูความเคลื่อนไหวกันต่อไปว่า สุดท้าย Brio/Brio Amaze ที่เป็นโปรเจ็กต์ Eco-Car ในบ้านเราจะเดินไปทางไหนต่อ เพราะข่าวคราวการเปิดตัวรุ่นใหม่ในบ้านเราเงียบเหงามาก
Audi e-Tron
หลังใช้ชื่อนี้ในการปูทางสู่การทำให้ตลาดรู้จักว่ามันคือรถยนต์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าผ่านทางต้นแบบรุ่นต่างๆ แล้ว ในที่สุด Audi ก็เปิดตัวคันจริงที่พร้อมขายออกมาแล้วโดยใช้ชื่อ e-Tron เลย และรุกตลาดในปี 2019 ด้วยการพัฒนา SUV ขนาดกลางกึ่งใหญ่ขึ้นมาด้วยตัวถังที่มีความยาว 4,900 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,923 มิลลิเมตร และเพิ่มสมรรถนะในการขับเคลื่อนให้เป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ในเป็นตัวเก็บกระแสไฟฟ้า หรือ BEV และถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์รุ่นแรกของค่าย ทาง Audi ยังไม่เปิดเผยถึงกำลังขับเคลื่อนของมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้ ซึ่งจะมีติดตั้งบนเพลาหน้าและหลังด้วยการขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ แต่บอกแค่ว่าจะใช้เวลาในการทำอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.5 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยการชาร์จ 1 ครั้งสามารถทำระยะทางได้ 402 กิโลเมตร ส่วนราคาขายน่าจะอยู่ราวๆ 79,900 ยูโรหรือประมาณ 3 ล้านกว่าบาทในตลาดยุโรปนะไม่ใช่เมืองไทย
Mercedes-Benz EQC
ถือเป็นแบรนด์รถยนต์หรูรายแรกที่เปิดศึกการทำตลาดรถยนต์พลังไฟฟ้าในกลุ่ม Hi-End และทาง Mercedes-Benz ใช้ซับแบรนด์ใหม่ที่เรียกว่า EQ ในการรุกตลาดและเปิดตัวรุ่นแรกในชื่อ EQC บนตัวถัง SUV ขนาดคอมแพ็กต์โดยเป็นการดัดแปลงตัวถังมาจากรุ่น GLC ที่ขายอยู่ในตลาด ตัวรถได้รับการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ติดตั้งอยู่บนเพลาหน้าและหลัง ซึ่งมีกำลังรวมกันอยู่ที่ 300 กิโลวัตต์หรือ 408 แรงม้า มีอัตราเร่ง0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 5.1 วินาทีแต่ความเร็วสูงสุดถูกล็อกเอาไว้ที่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้น และใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนขนาด 80 กิโลวัตต์เป็นที่เก็บกระแสไฟฟ้า โดยชุดแบตเตอรี่จะถูกวางเอาไว้ที่ด้านท้ายของตัวรถอย่างแนบเนียน สิ่งที่น่าสนใจคือ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการในเรื่องของกระแสไฟฟ้าในตัวรถได้อย่างยอดเยี่ยมควบคู่ไปกับการทำให้แบตเตอรี่สามารถเก็บไฟได้มากขึ้นโดยที่ขนาดไม่เพิ่มตาม และจากแบตเตอรี่ชุดนี้เมื่อชาร์จจนเต็มแล้ว จะทำให้รถแล่นทำระยะทางได้มากถึง 450 กิโลเมตรเลยทีเดียว
McLaren Speedtail
เมื่อพูดถึงรถสปอร์ตรุ่นใหม่ๆ ของค่ายนี้แล้ว ส่วนใหญ่มักจะหนีไม่พ้นผลผลิตที่ถูกดัดแปลงมาจากรุ่นหลักอย่างตระกูล MC ทั้งหลาย ซึ่งเจ้า Speedtail ก็มีส่วนด้วยเช่นกัน แต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่ามีการสร้างสรรค์รายละเอียดตัวถังใหม่โดยเฉพาะด้านท้ายที่ยาวยื่นออกไปจนคล้ายกับรถแข่งตัวแรงในอดีตอย่าง F1 LT หรือ Longtail และการยืดตัวถังส่วนนี้ทำให้ตัวรถมีความยาวโดยรวมถึง 5,137 มิลลิเมตร พร้อมกับใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังตามจุดต่างๆ จนทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาเพียง 1,430 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนเครื่องยนต์ที่วางอยู่ทางด้านท้ายของตัวรถนั้นเป็นขุมพลังไฮบริดที่สามารถผลิตกำลังออกมารวมกันที่ 1,050 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 403 กม./ชม. และใช้เวลา 12.8 วินาทีเพื่อเร่งจาก 0-300 กม./ชม. ส่วนอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ยังไม่ได้เปิดเผยออกมา การผลิตออกสู่ตลาดมีเพียง 106 คันเท่านั้น และทั้งหมดถูกจับจองหมดแล้วทั้งที่มีราคาสูงถึง 1.6 ล้านปอนด์เลยทีเดียว
Range Rover Evoque
เจนเนอเรชันที่ 2 ของ SUV ระดับหรูที่ผ่านการทำตลาดด้วยซับแบรนด์อย่าง Range Rover โดย Evoque ใหม่ยังคงความเป็น SUV ที่อ้างอิงพื้นฐานของรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาในการขับเคลื่อน ส่วนใครที่มองแวบเดียวแล้วคิดว่าเหมือนกับเป็นรุ่นเดิม เราคงต้องบอกว่า นี่คือโฉมใหม่และใช้รหัสตัวถังที่แตกต่างออกไป โดยจะมีรหัส L551 พร้อมตัวถังแบบ 5 ประตูที่มีความยาว 4,371 มิลลิเมตร และเครื่องยนต์ที่ทำตลาดจะมีอ้างอิงบนพื้นฐานของ 4 สูบเรียง 2,000 ซีซี ทั้งรุ่นเบนซิน และเทอร์โบดีเซล ซึ่งมีกำลังสูงสุดให้เลือกสัมผัสตั้งแต่ระดับ 150 แรงม้าไปจนถึงรุ่นท็อปที่มีกำลัง 300 แรงม้า เช่นเดียวกับรุ่น Mild Hybrid ที่มีขายเป็นอีกทางเลือก