“อเมริกัน มัสเซิล” American Muscle คือ คำแรกและคำเดียวที่สามารถบรรยายให้เห็นภาพทั้งหมดของ “ฟอร์ด มัสแตง” ได้อย่างครบถ้วนแต่ถ้าใครยังไม่ทราบความหมายของคำๆ นี้ ขอเชิญติดตามบทความของเราได้แล้วคุณจะได้ทราบว่า อเมริกัน มัสเซิล นั้นเป็นอย่างไร
ก่อนที่จะไปถึงเริ่องราวนั้นขอเล่าที่มาที่ไปของ ฟอร์ดมัสแตง เสียก่อนมัสแตงรุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ.1964 โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานจากฟอร์ด ฟาลคอน โดยเป็นรถแบบคูเป้ 2+2 ที่นั่ง จุดเด่น คือ เป็นรถหน้ายาว มีเบาะนั่งหลังสั้นๆ หลังจากเปิดตัวครั้งแรกกระแสความนิยมพุ่งถึงขีดสุด้วยยอดขาย 1 ล้านคัน ในเวลา 18 เดือน พร้อมกับการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในการเรียกรถประเภทนี้ว่าเป็นโพนี่คาร์ รวมถึงสร้างตำนานมากมายให้กับอเมริกันชน
นับจากรุ่นแรกมาจนถึงรุ่นปัจจุบันมัสแตงโฉมนี้ นับเป็นเจเนอเรชันที่ 6 แล้ว โดยเปิดตัวช่วงปลายปี 2013 ในฐานะโมเดลปี 2015 สำหรับเมืองไทยเคยมีการนำมาจัดแสดง แต่ไม่มีการจำหน่ายจากฟอร์ด ประเทศไทย หากอยากได้ต้องซื้อจากเกรย์ มาร์เก็ต ที่นำเข้ามาจำหน่าย จนกระทั่งในปีนี้ ฟอร์ด ประเทศไทย จัดเต็ม เปิดตัว “มัสแตง” พร้อมขายอย่างเป็นทางการ ผ่านตัวแทนจำหน่าย 19 แห่งทั่วประเทศ
2.3EcoBoost – V8 5.0
สำหรับ มัสแตง ที่ฟอร์ดนำเข้ามาทำตลาดเองนั้น เป็น MY 2018 ซึ่งได้รับการปรับปรุงใหม่หลากหลายรายการแล้ว และแตกต่างจากรุ่นปี 2017 ที่เกรย์มาร์เก็ตนำเข้ามาขาย เช่น หน้าปัดแบบจอ LCD ขนาดใหญ่ 12 นิ้ว, ระบบปรับช่วงล่าง และระบบปรับแต่งเสียงท่อไอเสียเป็นต้น
ทั้งนี้ การนำมัสแตง เข้ามาจำหน่าย นอกจากสร้างความประหลาดใจแล้ว ยังสร้างคำถามในหมู่คนสนใจว่า ควรเล่นรุ่นไหน ระหว่าง 2.3 ลิตร อีโค่บูสต์ หรือ 5.0 ลิตร วี 8 เนื่องจากฟอร์ดนำเข้ามาทำตลาดทั้งสองรุ่น ซึ่งในวันเปิดตัวที่พัทยา ทีมงานฟอร์ดจัดให้เราได้ทดลองขับแบบชิมลาง รุ่นละ 1 รอบสนาม ความรู้สึกแรกในเวลานั้น“ต้องV8” จึงเป็นที่มาของการนำมัสแตงรุ่น 5.0 V8 มาทดลองขับในครั้งนี้
สเปคเบื้องต้นของรุ่น5.0L V8 GT เครื่องยนต์เบนซิน V8 สูบ Ti-VCT กำลังสูงสุด 460 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 556 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมแพดเดิลชิพ ชุดใหม่(ชุดเดียวกับเรนเจอร์และเอเวอเรสต์) พร้อมเฟืองท้ายแบบลิมิเตดสลิป โดยมากับชุด Performance Pack ที่มีเบรกหน้าเป็นเบรมโบ 6 สูบ ขนาด 36 ม.ม.จานเบรกขนาดใหญ่ 380 ม.ม. (รุ่น 2.3 เป็นเบรกธรรมดา) ล้อคู่หลังมีขนาดหน้ากว้าง 9.5 นิ้ว ใหญ่กว่าคู่หน้า ที่มีขนาด 9 นิ้ว มาพร้อมยาง มิชลิน ไพลอต สปอร์ต 4 เอส และท่อไอเสียแบบ 4 ปลาย ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ ความแตกต่างหลักระหว่างรุ่น5.0 กับ 2.3
แรงเร้าเขย่าแม้หยุดนิ่ง
สัมผัสแรกของเรากับเจ้ามัสแตงนั้นอยู่ในสนามแข่งที่พัทยา แม้จะเป็นการลองขับเพียงหนึ่งรอบสนามต่อรุ่น ทั้ง 2.3 ลิตร และ 5.0 ลิตร แต่ความรู้สึกนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำได้เป็นอย่างดีเนื่องจากความชอบเป็นการส่วนตัวของผู้เขียน บวกกับการได้ขึ้นและลงขับแบบต่อเนื่องทำให้รู้สึกถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจนพอสมควร
ดังนั้น เมื่อเรามีโอกาสทดลองขับเจ้ามัสแตงเต็มรูปแบบจึงขอเลือกรุ่น 5.0 ลิตร V8 เพราะมันคือ อเมริกัน มัสเซิล ของแท้ ที่มีขายโดยบริษัทฯแม่เพียงหนึ่งเดียวในเมืองไทยเวลานี้ แรกรับรถติดเครื่องยนต์ เสียงคำรามดังมากเทียบกับเมื่อครั้งแรกที่เจอในสนามแข่งไม่ได้ อาจจะเพราะวันนั้น เสียงจากเครื่องเสียงของงานดังรบกวนตลอดเวลาส่วนวันนี้อยู่ในสถานที่เงียบๆ จึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สิ่งแรกที่ทำให้เราตะหนักคือ น้ำหนักของเบรก ที่ต้องใช้กำลังในการกดมากกว่ารถทั่วไปต้องทำความคุ้นเคยให้ดีก่อนจะขับแบบที่อยากลอง คันเร่งเบาสบายเท้าตอบสนองได้อย่างเหมาะสม คิกดาวน์ ไม่ติดเร็วจนเกินไปช่วงแรกเราขับอยู่ท่ามกลางการจราจรที่ติดขัดของเมืองกรุง บอกเลยว่า ทัศนวิสัยไม่เหมาะกับการจราจรหนาแน่น เนื่องจากความเป็นรถสปอร์ตที่กระจกบานหน้าแคบมีกระจกมองข้างเล็ก และมีหน้ารถยาว จะหวาดเสียวเวลาตีโค้งเข้าที่จอด
เมื่อได้ลองขับแบบเต็มกำลังความเร็วสูงสุดที่เราทำได้ในพื้นที่ปิด คือ 200 กม./ชม. เสียงคำรามของเครื่องยนต์และท่อไอเสียเร้าใจ บั๊บๆๆๆแบบที่คุณเคยเห็นในหนังฮอลลีวู๊ด แต่บัดนี้มันมาห่อหุ้มคุ้มครองชีวิตของคุณอยู่เราแช่อยู่ที่ความเร็วนั้นเพียงไม่กี่วินาที ลองเพื่อให้รู้ว่าเป็นอย่างไรเท่านั้นการขับขี่ส่วนใหญ่จะเหมือนการใช้งานปกติที่วิ่งด้วยความเร็วระหว่าง 80-140 กม./ชม.เสียงคำรามมาทุกครั้งที่กดคันเร่ง
การเร่งแซงอุ่นใจไม่ต้องกังวล เครื่องยนต์ V8 ตอบสนองทันใจและพุ่งทะยานในทุกย่านความเร็ว สมฉายาเจ้าม้าป่าแต่จะแตกต่างจากเครื่องยนต์ที่ใช้เทอร์โบโดยมีแรงดึงหลังติดเบาะนิดหน่อยพอเป็นกระษัย พวงมาลัยไฟฟ้าช่วยให้การควบคุมง่ายและเบามือ ขับสนุกแบบดิบๆ หน่อยเรียกว่าไม่เสียใจที่เลือกใช้รุ่น V8
ช่วงล่าง คือสิ่งที่เราสงสัย เนื่องจากทุกครั้งที่กดคันเร่งแบบหนักๆท้ายจะออกอาการตลอดดังนั้นสมาธิจะต้องดีและมือต้องจับพวงมาลัยด้วยความมั่นใจตลอดเวลายิ่งเมื่อคุณเปลี่ยนมาใช้ โหมดสปอร์ต ด้วยแล้ว ช่วงล่างจะแข็งขึ้นเครื่องยนต์คำรามมากกว่าเดิม การตอบสนองรวดเร็วกว่า ขับสนุกมากขึ้นแต่มันแลกมาด้วย ตับไตไส้พุงของคุณต้องรับแรงสะเทือนที่ชัดเจนกว่าเช่นเดียวกันส่วนหนึ่งมาจากสภาพถนนของเมืองไทยที่ไม่ต้องบรรยายเพิ่ม
แม้เวลารถจอดนิ่งๆผู้เขียนยังสามารถรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องยนต์ได้อาจจะไม่ได้แรงมากแต่มีให้จับสัมผัสได้อย่างแน่นอน ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าทีมวิศวกรสามารถเซตช่วงล่างให้เนียนและดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ทั้งหมด แต่ทีมฟอร์ดเลือกที่จะไม่ทำ เพราะนั่นจะทำให้สูญเสียความรู้สึกของ อเมริกัน มัสเซิล ไปนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับทุกคนต้องแลกมาเมื่อคิดที่จะคบกับเครื่องยนต์V8 นั่นคือ อัตราการบริโภคน้ำมันการขับแบบปกติในเมืองไม่กดคันเร่งหนัก วิ่งไม่เกิน 80 กม./ชม. เราเห็นตัวเลขระดับ 7-8 กม./ลิตร ส่วนนอกเมืองทางยาว เรายอมรับว่ากดคันเร่งหนักหน่วงเพราะยิ่งขับสนุกก็ยิ่งกดคันเร่ง(ประกอบกับเสียงอันเร้าใจทำให้ไม่นึกถึงน้ำมันเลย) ทำให้ผลรวมเฉลี่ยออกมาอยู่ที่ 5.5 กม./ลิตร น้ำมันหนึ่งถังของมัสแตงภายใต้การขับของเราวิ่งได้ระยะทางราว 250 กม.
เหมาะกับใคร
การทรงตัวและการนั่งสบายจะไม่ใช่จุดเด่นของมัสแตงเมื่อนำมาเทียบกับคู่แข่งในระดับเดียวกันจากค่ายยุโรปหรือญี่ปุ่นแต่เป็นความดิบในสไตล์ดั้งเดิมของรถแบบอเมริกันซึ่งคุณจะไม่สามารถหาได้ในรถยุคปัจจุบัน ประกอบกับราคาค่าตัวที่ 4,799,000 บาทเมื่อกวาดตาดูทั้งเมืองไทย รถยนต์ใช้เครื่องยนต์ V8 ไม่มีใครขายราคาเท่านี้ได้ มัสแตงเท่านั้นคือคำตอบ
ภาพกลางคืนโดย ภัทรวิน มหัธนสกุล