จากัวร์ แบรนด์รถยนต์หรูเก่าแก่จากสหราชอาณาจักร ซึ่งมีชื่อเสียงสะสมมาอย่างยาวนาน ล่าสุดกับการปรากฎตัวไปทั่วโลกของ จากัวร์ อี-ไทป์ รถสปอร์ตระดับตำนานของค่ายเสือดำแห่งนี้ ด้วยการเป็นพระราชพาหนะ นำ “เจ้าชายแฮร์รี่ และเมแกน” ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองพิธีเสกสมรสในยามค่ำ ปลุกกระแสรถสปอร์ตของค่ายจากัวร์ให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งหนึ่ง
ในปัจจุบัน จากัวร์ อยู่ร่วมชายคาเดียวกับ แลนด์โรเวอร์ ภายใต้ชื่อ จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ (JLR) ซึ่งมี ทาทา เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในฐานะบริษัทแม่ สำหรับประเทศไทย จากัวร์ อยู่ภายใต้การดูแลของ อินช์เคป ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยนำ “เอฟ-ไทป์” หนึ่งเดียวในไลน์อัพ รถสปอร์ตของจากัวร์ เข้ามาทำตลาดด้วย
หัวใจใหม่ 2.0 ลิตร
คูเป้ คือคำที่มักใช้เรียกรถแบบ 2+2 ที่นั่ง แต่สำหรับ เอฟ-ไทป์ เป็นคูเป้ 2 ที่นั่ง ไม่มีเบาะหลังหรือ ด็อคซีต เปิดตัวสู่ตลาดโลกมาตั้งแต่ปี 2015 โดยรุ่นที่ทำตลาดในเมืองไทย มีทั้งแบบคูเป้และแบบเปิดประทุน (Convertible) ซึ่งในช่วงแรกทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ ขนาด 3.0 ลิตร ก่อนที่จะมีการแนะนำรุ่นเครื่องยนต์ใหม่ ขนาด 2.0 ลิตร
สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบตัวนี้ เป็นเครื่องยนต์ใหม่ภายใต้เทคโนโลยีที่มีชื่อเรียกว่า Ingenium พิกัดกำลังสูงสุด 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร เครื่องยนต์วางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 5.7 วินาที ความเร็วสูงสุดเคลมไว้ที่ 250 กม./ชม.
หัวใจสำคัญของ Ingenium คือเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นสูง โดยการออกแบบเครื่องยนต์ให้สามารถใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหน้า, ล้อหลัง และสี่ล้อได้ ใช้ได้ทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ ใส่ได้ทั้งเทอร์โบเดี่ยวและเทอร์โบคู่ รวมไปถึงการผสมผสานเป็นเวอร์ชั่นไฮบริด ที่คาดว่าจะออกมาในเร็วๆ นี้ โดยมีแรงเสียดทานภายในเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่าเครื่องยนต์แบบดีเซลด้วย ซึ่งส่งผลดีในเรื่องของการตอบสนองที่รวดเร็วและสูญเสียกำลังน้อยลง
การมาของเครื่องยนต์ใหม่ 2.0 ลิตร ยังทำให้ราคาของ เอฟ-ไทป์ ในเมืองไทย เปลี่ยนแปลงไป โดยมีราคาใหม่ เริ่มตั้งแต่ 6 ล้านบาทถ้วน ไปจนถึง 7.499 ล้านบาท ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเดิมนั้น ราคาเริ่ม 8.999 ล้านบาท ราคาใหม่นี้ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเยอะ
ส่วนรูปโฉมภายนอก ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด โครงสร้างพื้นฐานอาศัยปรัชญาการออกแบบจากรุ่นพี่ XK8 แต่มีการปรับเปลี่ยนให้ดูกระฉับกระเฉง และปราดเปรียวกว่าเดิม ฝากระโปรงหน้ายังเป็นแบบยาวตามเอกลักษณ์ของจากัวร์ ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟสว่างเวลากลางวัน โดยมีช่องดักลมขนาดใหญ่อยู่ทางด้านหน้า
การตกแต่งภายใน จัดวางอย่างเรียบง่ายและดูลงตัว ให้ความรู้สึกที่เป็นสปอร์ตแท้ๆ คอนโซลกลางวางตำแหน่งเอาใจคนขับ แต่คนนั่งก็สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก ตัวปุ่มปรับแอร์นั้น ออกแบบเหมือนล้อรถยนต์ย่อส่วนเป็นดีไซน์ที่แปลกดี รวมถึงปุ่มต่างๆ มีส่วนผสมผสานของอลูมิเนียมและยาง
ด้วยความที่เป็นรถแบบ 2 ที่นั่ง ไม่มีที่นั่งด้านหลัง ทำให้รู้สึกเหมือนแคบ เพราะจะไม่มีที่วางของ ด้านท้ายบรรจุยางอะไหล่ไว้ ทำให้มีพื้นที่บรรจุได้เพียงกระเป๋าเป้ ไม่สามารถใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแลกระหว่างพื้นที่การบรรจุของได้น้อยกับความเป็นสปอร์ตที่ได้รับ ขึ้นอยู่กับคุณว่าต้องการแบบไหน
แรงเร้าใจ เหนือคาด
สำหรับการทดลองขับนั้น เราใช้งานแบบเต็มรูปแบบ ทั้งในเมือง กลางวันและกลางคืน กับการเดินทางแบบยาวๆ ไป-กลับ ราว 300 กม.รวมระยะทางที่ขับไปกว่า 500 กม. ขออนุญาตเล่าเฉพาะส่วนที่สำคัญช่วยประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่กำลังมองหารถสปอร์ตไว้ใช้งานสักคันหนึ่ง
จุดเด่นแรกสุดที่ต้องนำเสนอ ไม่เกี่ยวกับการขับขี่ แต่เป็นเรื่องของ แบรนดิ้ง ทำไมเราจึงให้ความสำคัญ นั่นเพราะว่า หากคุณเป็นคนที่ใช้ชีวิตในเมืองกรุงและต้องไปจอดรถในห้างดังๆ ย่านใจกลางกรุงเทพฯ ซึ่งขึ้นชื่อว่าหาที่จอดรถยากยิ่ง จากัวร์ เอฟ-ไทป์ คันนี้ ผู้เขียนยืนยันว่า สามารถนำไปจอดที่ที่จอดรถ ซุปเปอร์คาร์ ได้ โดยเราได้ไปลองจอดมาแล้วทั้งสองห้างใหญ่ รปภ.ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี สบายใจได้ เรียกว่าใช้ เอฟ-ไทป์ อุ่นใจได้เรื่องที่จอดรถ
ในแง่ของการขับขี่ ติดเครื่องยนต์เสียงท่อจะไม่ดังเท่าไหร่ แต่เมื่อกดคันเร่งเต็มๆ เจ้าเสือดำจะคำรามออกมาเรียกสายตาของคนในรัศมีรอบตัว ให้หันมามองได้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยในหลายๆ ครั้งที่ผู้เขียนขับผ่านชุมชน มักจะได้ยินหรืออ่านจากปากคนที่มองมาที่เรา คือ “รถอะไรสวยจัง” หรือ “สวยจริงๆ” คือ สองคำที่เราได้ยินบ่อยมากเวลาขับ
การใช้งานในเมือง จากัวร์ เอฟ-ไทป์ อาจจะไม่เหมาะสักเท่าใด ด้วยทัศนวิสัยที่มีความเป็นสปอร์ตจ๋า เสาเอขนาดใหญ่ กระจกบานหน้าค่อนข้างเล็กและลาดเอียงเพื่อความลู่ลม ทำให้เวลาขับในที่ชุมชนหรือใจกลางเมือง ต้องใช้สมาธิและความระมัดระวังสูง แม้ว่าจะมีตัวช่วย ทั้งระบบเซนเซอร์เตือนรอบคันและกล้องมองหลังก็ตาม เรายังคงระแวงอยู่ดี แต่ถือว่า ใช้งานได้ โดยต้องทำความคุ้นเคยสักระยะ
สำหรับการขับขี่แบบทางยาว สิ่งนี้เปรียบเสมือนหัวใจในการพัฒนารถรุ่นนี้ก็ว่าได้ เอฟ-ไทป์ เป็นรถที่ขับสนุกมาก คันเร่งกดเป็นมาในทุกย่านความเร็ว ความเร็วสูงสุดที่เราลองขับไปแตะถึงระดับ 190 กม./ชม. ในพื้นที่ปิดเฉพาะที่ไม่ใช่ถนนหลวง การทรงตัวยอดเยี่ยม มั่นใจ แม้จะวิ่งด้วยความเร็วสูงขนาดนั้น
ความเร็วในการเดินทางยาวๆ ที่เราใช้ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 90-120 กม./ชม.ขับได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องห่วงเรื่องของตับไตไส้พุง ระบบช่วงล่างเซตมาให้รองรับแรงสะเทือนได้เป็นอย่างดี จังหวะเรื่องแซงแค่เพียงกดคันเร่งแบบหนักเท้าสักหน่อย เท่านี้ก็เหลือเฟือในทุกย่านความเร็ว หรือหากอยากสนุกแค่กดแพดเดิลชิพหลังพวงมาลัย สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลง ได้แบบเกียร์ธรรมดา
ในหลายๆ จังหวะที่เราขับและเร่งแซงแบบรวดเร็ว รวมถึงการออกตัวเป็นคันแรกของไฟแดง เรียนตามตรง รู้สึกเหมือนกำลังขับซุปเปอร์คาร์ แม้ว่าแรงดึงจะไม่มากเท่า แต่เสียงท่อที่คำรามอย่างหวานหู ช่วยให้ผู้ขับรู้สึกดีๆ อย่างบอกไม่ถูก ด้วยกำลังเพียง 300 แรงม้า ไม่ได้มากพอจะเรียกว่าเป็น ซุปเปอร์คาร์ แต่ความรู้สึกของการขับขี่ ขาดไปเพียงนิดหน่อยจะพอลุ้นเทียบชั้นซุปเปอร์คาร์ได้ (ราว 500 แรงม้า หรือในรุ่นพิเศษอย่าง SVR อาจจะเป็นไปได้)
ลูกเล่นต่างๆ ภายในรถถือว่าให้มาอย่างครบถ้วน หน้าจอขนาด 10 นิ้ว ใช้งานง่ายปรับทุกอย่างผ่านนิ้วสัมผัส รวมถึงแสงไฟในห้องโดยสารที่เปลี่ยนสีได้ เบาะนั่งหนังแท้ทรงสปอร์ต น้ำหนักเบาพิเศษ ประตูไร้กรอบกระจก แต่ไม่มีปัญหาเรื่องของเสียงรบกวนจากภายนอก เสียงลมจะมีให้ได้ยินเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 140 กม./ชม.
ส่วนตัวเลขอัตราการบริโภคน้ำมันจากการวิ่งทั้งหมดตามระยะทางที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ตามการแสดงผลหน้าจอระบุ 12.7 ลิตร/100กม. หรือ 7.87 กม./ลิตร
เหมาะกับใคร
คนที่กำลังมองหารถสปอร์ต เอาไว้ใช้งานเป็นคันที่สองหรือสามของบ้าน ต้องการความสนุกในการขับขี่ใกล้เคียงซุปเปอร์คาร์ และเป็นรถหายากไม่ซ้ำใคร ภายใต้งบประมาณ 6-7 ล้านบาท จากัวร์ เอฟ-ไทป์ คือคำตอบ ส่วนเรื่องการบำรุงรักษาสบายใจไป 5 ปี ทั้งรับประกันและเซอร์วิสแบบครบวงจร