xs
xsm
sm
md
lg

McLaren 720S รถแข่งฟอร์มูล่าดีๆ นี่เอง

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เมื่อเอ่ยถึงชื่อของแมคลาเรน แบรนด์นี้ก่อกำเนิดขึ้นมาจากสนามแข่งหลังจากทีมแข่งแมคลาเรนสามารถสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับในวงการรถสูตรหนึ่ง หรือ F1 เมื่อทุกอย่างพร้อมแมคลาเรนตัดสินใจสร้างแบรนด์รถยนต์ของตัวเองขึ้นมาอย่างเป็นทางการโดยรถยนต์ทุกคันได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการแข่งขันนำมาไว้ในรถที่สามารถใช้งานได้จริงบนท้องถนน


สำหรับแมคลาเรน ในประเทศไทยอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ “นิชคาร์” ตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ซึ่งแมคลาเรนไม่เกี่ยวข้องกับคดีความที่เกิดขึ้นกับทางนิชคาร์ ดังนั้น เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว นิชคาร์ จึงได้แนะนำ “720 เอส” รถสปอร์ตตัวแรงในตระกูลซุปเปอร์ซีรี่ส์ และชักชวนทีมงานเอ็มจีอาร์ มอเตอริ่งไปร่วมทดลองขับ เราจึงไม่พลาด



-เทคโนโลยีล้ำคาร์บอนทั้งคัน

หากจะให้บอกถึงเทคโนโลยีต่างๆ ทั้งหมดของ แมคลาเรน 720 เอส 10 หน้ากระดาษคงยังไม่พอ เราจึงขอเลือกเฉพาะบางส่วนที่ถือว่าล้ำหน้าและแตกต่างจากซุปเปอร์คาร์ คันอื่นๆ จนทำให้ 720 เอส ถูกนำไปเปรียบเทียบกับไฮเปอร์คาร์ (รถที่เหนือกว่าซุปเปอร์คาร์) อยู่หลายครั้ง



โครงสร้างตัวถังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของน้ำหนักตัวที่เบา แต่ยังคงความแข็งแรงในระดับสูง เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ โดยโครงสร้างเสาเอของ 720 เอส เป็นคาร์บอนเคฟร่า ขณะที่โครงสร้างช่วงล่างเลือกใช้อลูมิเนียมอัลลอยหลายชิ้นส่วน



การออกแบบตัวถังภายนอกมาตามหลักอากาศพลศาสตร์ขั้นสูงจากสนามแข่ง โดยมีการดีไซน์ช่องดักลมจากทางด้านหน้ารถ เพื่อเข้ามาช่วยระบายความร้อนของเครื่องยนต์และช่วยกดตัวถังด้วย อีกทั้งยังเป็นลมที่สะอาดกว่าการดักลมจากทางด้านข้างรถ ซึ่งอาจจะมีเศษหินหรือฝุ่นสกปรกจากล้อหน้าลอยติดเข้าไปได้



เครื่องยนต์เบนซิน รหัส M840T ขนาด 4.0 ลิตร V8 ทวินเทอร์โบ วางกลาง (ด้านหลัง) ขับเคลื่อนล้อหลัง กำลังสูงสุด 720 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 770 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด SSG อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลา 2.9 วินาที และ 0-200 กม./ชม.ในเวลา 7.8 วินาที ความเร็วสูงสุด (ตามสเปค) 341 กม./ชม.



การตกแต่งภายในดีไซน์ตามสไตล์ของรถแข่งขนาดแท้ มีเฉพาะอุปกรณ์ที่สำคัญและจำเป็นเท่านั้น โดยเป็นเพียงแบรนด์เดียวที่ใช้อลูมิเนียมขัดเงาแท้ในการทำแป้นกดต่างๆ แต่ยังคงมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน พร้อมกับลูกเล่นและการใช้งานที่น่าทึ่ง ทั้งหน้าจอระบบสัมผัสแบบแนวตั้ง ควบคุมและสั่งการทำงานทุกอย่างของตัวรถ



ส่วนหน้าปัดแสดงความเร็วสามารถเปลี่ยนโหมดพับเก็บเพื่อให้มีสมาธิกับการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ประหนึ่งรถแข่งในสนาม เกียร์ออกแบบเป็นแป้นกดอย่างลงตัวและสวยงาม D-N-R ถูกวางตำแหน่ง ต่อลงมาจากปุ่มติดเครื่องยนต์ เบาะหนังทรงสปอร์ตสามารถเลือกชนิดและสีได้ตามใจชอบ โดยมีการเดินเส้นด้ายและตัดเย็บอย่างประณีต






อีกหนึ่งสิ่งที่ไม่สามารถลืมกล่าวถึงได้ นั่นคือ ประตูรถ ที่ออกแบบการเปิดเป็นแบบปีกนก ซึ่งเปิดง่ายๆ เพียงกดปุ่มเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่แล้วยกขึ้นเบาๆ ส่วนการเปิดจากภายในรถต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ คือ การใช้ศอกในการดันขึ้น มิฉะนั้นจะเปิดได้ยาก แต่เมื่อรู้วิธีแล้วจะเปิดได้ง่ายดายมาก





-แรงล้ำหนึบสุด

ในส่วนของการขับขี่นั้น เราเป็นทั้งผู้โดยสารและผู้ขับ เริ่มจากการขับก่อนโดยเลือกสถานที่ขับเป็นพื้นที่มีรถน้อยไม่ใช่ถนนหลวง ในการทดลองขับแม้จะเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ แต่ก็ได้ลองจนหนำใจเพียงพอต่อความต้องการและสามารถนำเสนอได้อย่างครบถ้วน


ความรู้สึกแรกที่เข้าประจำการ คือ เหมือนนั่งอยู่ในรถแข่งมีเฉพาะสิ่งที่จำเป็นต่อการขับเท่านั้น มุมมองและทัศนวิสัยให้ความรู้สึกเหมือนรถแข่งแท้ๆ แต่มีความสบายและอุปกรณ์ครบแบบรถยนต์นั่งทั่วไป การเข้าเกียร์เป็นเกียร์แบบไฟฟ้า สะดวกและง่าย รวมถึงปลอดภัยด้วยหากเราเข้าเกียร์แล้ว แต่ยังไม่กดคันเร่ง รถจะยังไม่เคลื่อนตัวออกไป

การทดลองน้ำหนักเบรก เป็นสิ่งแรกที่เราต้องทำหลังกตคันเร่งเบาๆ เมื่อออกตัว ทั้งนี้ เพื่อให้รู้น้ำหนักการเบรก เพราะรถระดับนี้น้ำหนักในการเหยียบเบรก จะแตกต่างจากรถอื่นๆ ทั่วไป จำเป็นต้องออกแรงมากกว่าและมีการจับที่หนักแน่น ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยการลองน้ำหนักเบรกให้ชินเท้าก่อนจึงสำคัญมาก


เมื่อคุ้นเคยกันแล้วได้ลองกดคันเร่งแบบเต็มๆ ทันที รถพุ่งทะยานด้วยแรงดึงมหาศาลหลังติดเบาะ ต่อมอะดรีนาลีนทำงานทันที โดยที่ตัวรถไม่มีอาการเสียการทรงตัวแต่อย่างใด เมื่อกดคันเร่งแบบเต็มๆ ความเร็วพุ่งทะยานไปถึง 160 กม./ชม.อย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที


หลังจากนั้น ลองเบรกที่ความเร็วสูง เพื่อให้หางหลัง (Air Brake Rear Wing) ยกขึ้นมาช่วยเบรก แนวคิดเดียวกับปีกของเครื่องบินที่ถูกยกขึ้นมาช่วยเบรกนั่นเอง เรียกเบรกอยู่ในทุกย่านความเร็วความเร็วสูงสุดที่เราลองขับได้แตะถึงระดับ 200 กม./ชม.ด้วยระยะทางสั้นๆและจำกัดในลักษณะของพื้นที่ เพื่อความปลอดภัย


ความสนุกในการขับขี่ การตอบสนองที่เร้าใจเหนือกว่าซุปเปอร์คาร์อื่นใด เป็นสิ่งที่ประทับใจเรามากที่สุด การทรงตัวและการดูดซับแรงสะเทือน ถือเป็นอีกหัวข้อที่ต้องขอชื่นชมและขอบคุณระบบ Proactive Chassis Control II ตัวใหม่ล่าสุด พร้อมกับระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ช่วยให้การควบคุมเจ้า 720 เอส ให้เชื่องมือ



มีคำถามว่า หากต้องขับไปทำงานทุกวันจะทำได้หรือไม่ คำตอบตรงจากใจเรา ทำได้แน่นอน แต่คุณจะต้านทานใจตัวเองไม่ให้ขับเร็วได้อย่างไร ไม่ให้ขับแบบพุ่งทะยานได้หรือไม่ ถ้าเจอรถติดๆ จะหงุดหงิดไหม ถ้ามีภูมิคุ้มกันสิ่งเหล่านี้ รับประกันว่า ขับขี่ได้ทุกวันอย่างสบายๆ แต่ถ้าทนไม่ได้ แนะนำให้นำออกวิ่งเฉพาะวันที่ถนนโล่งๆ จะดีกว่า


สำหรับช่วงของการเป็นผู้โดยสาร 720 เอส ถูกขับโดยนักขับที่เป็นอดีตนักแข่ง ซึ่งต้องบอกว่า มีลีลาและไลน์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเหมาะกับการขับเจ้า 720 เอส อย่างที่สุด ทั้งการมุดและเข้าโค้ง ด้วยความเร็วสูงชนิดที่เราเป็นคนนั่งไม่คาดคิดว่าจะเข้าได้ แต่ 720เอส ทำได้อย่างสบายๆ





-เหมาะกับใคร

แน่นอนว่า ด้วยราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 26.5 ล้านบาท (คันที่เราขับ รวมออพชันเสริม มีราคาประมาณ 35 ล้านบาท) ต้องเป็นมหาเศรษฐีที่ชื่นชอบการขับขี่รถด้วยตัวเอง รักในอารมณ์ของการขับรถแข่ง อยากได้ความแตกต่างไม่เหมือนใคร ซึ่งในแต่ละปี แมคลาเรน ขายในเมืองไทยเพียง 20 กว่าคัน เท่านั้น ดังนั้น รับประกันว่า ขับแล้วหาซ้ำยากแน่นอน










กำลังโหลดความคิดเห็น