7 ปีที่อยู่ในตลาด ถึงตอนนี้ Evoque ของ Range Rover แบรนด์ SUV ไฮเอนด์ที่อยู่ในเครือ Land Rover ได้เวลาเปลี่ยนโฉมแล้ว แต่ด้วยหน้าตาที่คล้ายกันและรูปทรงที่แทบจะแยกไม่ออก ก็เลยมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าเป็นการเปลี่ยนโฉม หรือเป็นแค่บิ๊กไมเนอร์เชนจ์ หรือการปรับโฉมครั้งใหญ่
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อนั่งดูรายละเอียดอย่างจริงจังแล้ว เราคิดว่ามันน่าจะเป็นแค่การปรับโฉมครั้งใหญ่มากกว่าหรือเปล่า เพราะโครงสร้างตัวถังหลักของตัวรถยังเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนชิ้นส่วนตัวถังหลายจุดทั้งภายนอกและภายใน ทางด้านรูปลักษณ์ด้านหน้านั้น เมื่อดูจากภายนอกแล้ว หลายคนอาจจะไม่คิดว่ามันเปลี่ยนโฉม เพราะเส้นสายหลักๆ ของโคมไฟยังเหมือนเดิม จะเปลี่ยนก็คือชุดไฟที่อยู่ข้างในซึ่งเป็นแบบ Matrix Headlamp ที่ดูทันสมัยขึ้นเพราะใช้หลอด LED ขณะที่แนวของเส้นหลังคาและแนวประตูก็ยังดูเหมือนกับรุ่นเดิม
แต่เอาเถอะไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทาง Land Rover ก็นับ Evoque รุ่นนี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 2 ไปแล้ว ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรที่จะนับแบบนี้ เพราะรถยนต์บางรุ่นจากบางค่ายเปลี่ยนน้อยกว่านี้ยังเหมารวมว่าเป็นเจนอเรชันใหม่เลย โดย Evoque ใหม่จะยังใช้โครงสร้างตัวถังหลักร่วมกับรุ่นเดิมแต่มีการเปลี่ยนรายละเอียดบนตัวถังค่อนข้างเยอะมาก ทั้งประตูบานใหม่ที่ไม่ได้ใช้มือเปิดแบบเดิม แต่เป็นแบบแนบสนิทไปกับตัวถัง และคิดว่าน่าจะเป็นแบบใช้นิ้วกดลงไปและจะมีก้านเปิดกระดกขึ้นมา ขณะที่ตัวถังแรกที่ทำตลาดนั้นจะเป็นแบบ 5 ประตู
สุดท้ายก็มาเคลียร์เมื่อทาง Land Rover แจ้งว่า Evoque ใหม่จะใช้พื้นตัวถังใหม่ที่เรียกว่า Premium Transverse Architecture มีการขยายระยะฐานล้ออีก 20 มิลลิเมตรเป็น 2,681 มิลลิเมตร ขณะที่ความยาวอยู่ที่ 4,371 มิลลิเมตร กว้าง 1,966 มิลลิเมตร และสูง 1,649 มิลลิเมตร โดยจะใช้รหัวตัวถังใหม่ L551 แทนที่รุ่นเดิมซึ่งเป็น L538
แน่นอนว่าในส่วนภายในนั้นถือว่าใหม่ทั้งหมดเพราะมีการออกแบบแผงหน้าปัดและชุดมาตรวัดใหม่ โดยในเรื่องของความกว้างขวางนั้นต้องบอกว่าทาง Land Rover ใส่ใจเป็นพิเศษ โดยระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารกว้างขึ้น ทำให้พื้นที่วางขาของเบาะนั่งหลังเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่มีความจุ 591 ลิตรเพิ่มขึ้นอีก 10 ลิตร และจะเพิ่มเป็น 1,383 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลงทั้งหมด โดยตัวเบาะหลังเอาจะสามารถแยกพับได้ในอัตราส่วน 40-20-40
นอกจากนั้นพื้นตัวถังรุ่นนี้ยังถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับการใช้งานของเทคโนโลยีไฟฟ้าในอนาคตอีกด้วย โดยมีความยืดหยุ่นสามารถรองรับกับระบบ Mild-Hybrid และการเสียบปลั๊กชาร์จหรือ Plug-in Hybrid ได้ด้วย โดยในรุ่นใหม่นี้จะมีการติดตั้งระบบ Mild-Hybrid มาให้ด้วย แต่รายละเอียดของเครื่องยนต์รุ่นนี้ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid ต้องรอจนถึงกลางปี 2019
สำหรับทางเลือกอื่นๆ ของเครื่องยนต์ เท่าที่มีการแดเผยออกมาในตอนนี้ จะมีค่อนข้างหลากหลายแบ่งเป็นเบนซินและเทอร์โบดีเซลอย่างละ 6 รุ่น แต่อยู่บนพื้นฐานของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงแบบวางขวาง 2,000 ซีซีเหมือนรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า โดยมีจะมีกำลังสูงสุดระหว่าง 150-300 แรงม้า และมีระบบขับเคลื่อนทั้งแบบล้อหน้าและ 4 ล้อตลอดเวลา
ในส่วนของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจะมากับเทคโนโลยีที่ได้รับการปรับปรุงเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของ Active Driveline with Driveline Disconnect ของระบบ Terrain Response 2 ให้ความสะดวกในการใช้งานเพียงแค่ปรับรูปแบบการกระจายกำลังของเครื่องยนต์ให้สอดคล้องกับสภาพเส้นทางโดยอ้างอิงจากภาพที่ระบุเอาไว้บนปุ่มหมุนสำหรับเลือก
เปิดตัวออกมาแล้วและจะเริ่มวางขายในช่วงต้นปีหน้า โดยมีราคาตั้งเอาไว้ที่ 31,600 ปอนด์ หรือ 1.575 ล้านบาทสำหรับรุ่นเริ่มต้น และรุ่นแพงสุดอยู่ที่ 40,350 ปอนด์ หรือ 2.01 ล้านบาท