นับตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวการเปิดตัว FOMM ONE รถยนต์ไฟฟ้า เชื้อชาติญี่ปุ่น แต่ผลิตในเมืองไทยทั้งคัน เราเฝ้ารอวันที่จะได้ทดลองขับขี่จริง ด้วยใจมุ่งหมายอยากรู้ว่า ฟอมม์ วัน จะขับเป็นอย่างไร แล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อทีมงานฟอมม์ จัดเตรียมพื้นที่สำหรับการให้ทดลองขับไว้ที่ มอเตอร์สปอร์ตแลนด์ (แดนเนรมิตรเก่า)
เริ่มต้นด้วย การแนะนำผลิตภัณฑ์ของทีมผู้บริหาร พร้อมกับการออกตัวว่า รถที่นำมาขับที่เราเห็นกันอยู่นั้น เป็นรถล็อตแรกที่เพิ่งออกจากโรงงานมาสดๆ ร้อนๆ ดังนั้น ในแง่ของการตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนต่างๆ อาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% ถ้ามีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องไปบ้าง ขอให้แจ้งทีมงานให้ทราบด้วย หลังจากนั้นถึงเวลามาดูตัวรถกัน
แบต 10kWh แต่วิ่งได้ไกล 160 กม.
ตัวรถออกแบบตามแนวคิดเดิม ซึ่งเจ้าของบริษัทและหัวหน้าทีมวิศวกรผู้พัฒนา ฟอมม์ วัน นั้นคือ คนๆ เดียวกัน โดยในอดีตเขาคือผู้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้กับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นนั่นเอง เขานำเอาแนวคิดในการสร้างรถคันนี้ออกมาตั้งบริษัท เพื่อทำตามความฝันของตัวเอง โดยเมื่อคิดแล้วหากทำที่ญี่ปุ่นต้นทุนจะสูงมาก ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะมาสร้างรถคันนี้ที่ประเทศไทย
ฟอมม์ วัน มากับแนวคิดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ใช้งานในเมือง ขนาดตัวรถกว้างเพียง 1.2 เมตรเท่านั้น แบบ 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบฝังในล้อ (Motor in wheel) กำลังสูงสุด 10 กิโลวัตต์ แรงบิดสูงสุด 560 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบ 0 ส่วนแบตเตอรี่ขนาด 11.84 กิโลวัตต์ ระยะเวลาการชาร์จ 6 ชั่วโมง หัวชาร์จแบบไทป์2 ความเร็วสูงสุดที่วิ่งได้ 80 กม./ชม. ระยะทางวิ่งสูงสุด 160 กม. ตามมาตรฐานการวัดของ WLTC ตัวรถเป็นแบบ 2 ประตู ขนาดเล็กจัดอยู่ในมาตรฐานของ L7e คือ รถยนต์ขนาดเล็ก สำหรับห้องโดยสารมีขนาดเล็ก อุปกรณ์อำนวยความสะดวกมีเพียงแอร์และกระจกไฟฟ้า คันเร่งอยู่ที่พวงมาลัยตำแหน่งเดียวกับการติดตั้ง Paddle Shift ส่วนที่เท้ามีแค่เบรก ไม่มีระบบเสริมความปลอดภัยใดๆ ทั้งสิ้น
-แรงตามสเปค ห่างชั้นเครื่องยนต์
การทดลองขับ เป็นเส้นทางสั้นๆ ภายในสนามมอเตอร์สปอร์ตแลนด์ รวมระยะทางการขับราว 2 กม. ผู้เขียนได้ลองขับพร้อมกับผู้โดยสารไปด้วยอีกหนึ่งคน เดิมตั้งใจจะลองขับไป 4 คน แต่เมื่อดูแล้วเบาะนั่งแถวหลัง มีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะให้ใครนั่งไปด้วยความสบาย ดังนั้น จึงไปกัน 2 คนกำลังดี
ระบบเกียร์ใช้การกดปุ่มที่คอนโซลกลางเพื่อเลือกเดินหน้า, ถอยหลัง หรือเกียร์ว่าง ส่วนคันเร่งอยู่ที่พวงมาลัย เป็นแป้นขนาดเล็ก 2 ชิ้น ซ้าย-ขวา ทำงานด้วยการใช้มือข้างใดก็ได้ ผลักเข้าหาตัว รถจะเคลื่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งถือว่าใช้งานง่าย แต่ต้องทำความเข้าใจก่อนสักพัก โดยเมื่อผลักแป้นคู่พร้อมกันจะเรียกกำลังสูงสุดออกมาใช้งาน
การขับเพียงสองรอบของเราพอจะจับใจความได้ว่า สมรรถนะยังห่างกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ ยังคงเป็นรถไฟฟ้าในยุคบุกเบิกที่ไม่ก้าวข้ามความสามารถของรถใช้เครื่องยนต์ คันเร่งแม้จะกดเต็มกำลัง รถจะค่อยๆ ออกตัวมานุ่มๆ เนียนๆ ไม่กระชากหรือดึงมาก ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ คือ 45 กม./ชม.ก็รู้สึกว่าเร็วแล้ว ส่วนการเบรกเพียงแค่ปล่อยคันเร่งที่มือก็จะมีเบรกแล้ว แต่จำเป็นต้องใช้แป้นเบรกที่เท้าช่วย เพื่อการเบรกในระยะที่เหมาะสม
จุดเด่นของ ฟอมม์ วัน คือ ความคล่องตัว เหมาะกับการใช้งานในเมืองที่การจราจรแออัด หรือใช้งานตามหมู่บ้านที่ รถวิ่งกันไม่เร็ว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะไม่ปล่อยมลพิษจากปลายท่อไอเสีย รวมถึงความสามารถในการลอยน้ำได้ และแล่นในน้ำได้ระดับหนึ่ง ผลลัพท์มาจากการใช้มอเตอร์ในล้อและโครงสร้างตัวถังชนิดพิเศษ ที่มีน้ำหนักเบาทำให้สามารถลอยน้ำได้
ส่วนจุดที่น่ากังวล คือ เรื่องของการขับออกถนนใหญ่ ที่มีรถวิ่งด้วยความเร็วสูง จะมีแรงลมดูด ซึ่งส่งผลต่อตัวรถฟอมม์ วันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะส่งผลมากน้อยเพียงไร ยังต้องรอการพิสูจน์ รวมถึงระยะเวลาการชาร์จและระยะทางวิ่ง ต้องนำมาใช้งานจริงจนกว่าแบตจะหมด เพราะตัวแปรในประเทศไทยนั้นแตกต่างจากในห้องแลบมาก
ฟอมม์ วัน เวลานี้ เปรียบได้กับ โทรศัพท์มือถือในยุคแรกเริ่มที่เปิดตัวออกมาด้วยเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งมีราคาแพงอันเป็นปกติของสินค้าเทคโนโลยีทั่วไป นั่นหมายความว่า ใครที่ซื้อก่อน เขาได้ยอมรับในเงื่อนไขของการเป็นสินค้าเทคโนโลยีที่ต้องจ่ายแพงกว่าคนอื่น ในฐานะผู้ได้ใช้งานก่อน ซึ่งหากมองในแง่ความคุ้มค่า คงยังไม่ใช่ ณ จุดนี้
-เหมาะกับใคร
ฟอมม์ วัน ตอบโจทย์คนที่อยากได้รถยนต์ไฟฟ้า ใช้งานในเมือง ในระยะทางใกล้ๆ หรือในหมู่บ้าน ใช้ไปจ่ายกับข้าว ซึ่งไม่ต้องใช้ความเร็ว โดยเมื่อมองมาที่ค่าตัว 664,000 บาท เทียบกับรถยนต์แบบอีโคคาร์ที่มีจำหน่ายในเมืองไทยเวลานี้ อีโคคาร์ มีอรรถประโยชน์ใช้งานได้ลงตัวกว่า ดังนั้น ฟอมม์ วัน จึงเป็นทางเลือกของคนที่อยากลองเทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อนใคร ซึ่งคงไม่ใช่รถคันแรกหรือรถคันเดียวของบ้านอย่างแน่นอน
